สัปดาห์ที่ผ่านมา นอกเหนือจากประเด็นการผิดนัดชำระหนี้ของกรีซที่ต้องลุ้นกันตัวโก่งแล้ว อีกประเด็นที่ถูกพูดถึง และเกิดใกล้ๆ กับไทยเรานั่นก็คือ การดิ่งลงของตลาดหุ้นจีนนั่นเอง ซึ่งนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นมีการย่อตัวลงอย่างหนัก จากระดับ 5,000 จุด ร่วงลงมาแตะระดับ 3,400 จุด หรือร่วงลงกว่า 30% ภายในเวลาไม่ถึง 1 เดือน สร้างความปั่นป่วนไม่น้อยต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชีย แม้จะมีการฟื้นตัวขึ้นมาบ้าง แต่ภาพรวมยังคงเป็นเชิงลบอยู่ วันนี้เราพักเรื่องกรีซ และมาคุยกันถึงปัญหาในเอเชียกันก่อนดีกว่าครับ
ย้อนกลับไปเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนเป็นอีกประเทศที่ได้รับการจับตามองจากทั่วโลก เพราะการเจริญเติบโตที่ก้าวกระโดดของ GDP จีนในช่วงนั้น ทำให้ขนาดเศรษฐกิจเติบโตแซงหน้าญี่ปุ่นก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 2 เป็นรองเพียงสหรัฐฯ เท่านั้น การเติบโตที่ร้อนแรงนั้นส่งผลให้ตลาดหุ้นจีน หรือ SSE Composite ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจากระดับ 1,500 จุด ไปอยู่ที่ระดับ 6,000 จุด ในช่วงปี 2012-2013 ทุกคนต่างมองว่าจีนกำลังจะขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจต่อจากสหรัฐฯ แต่การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของจีนนั้นเมื่อมองลึกลงไปแล้ว ปัจจัยหนุนสำคัญอยู่ที่การส่งออก และการลงทุนในประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนที่ไม่ยั่งยืนนัก บวกกับการลงทุนในประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากภาครัฐฯ ที่มีประสิทธิภาพในระดับต่ำ ซึ่งประธานาธิบดีของจีน นายสี จิ้น ผิง ได้เล็งเห็นถึงเรื่องดังกล่าว จึงได้ออกแผนปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา Hard landing ของเศรษฐกิจจีน และหนุนให้เศรษฐกิจมีการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยพึ่งพาการบริโภคในประเทศ และส่งเสริมการลงทุนให้มีประสิทธิภาพ ลดการพึ่งพิงเศรษฐกิจต่างประเทศ และแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งเรื่องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SME รายเล็ก ปัญหา Shadow banking และฟองสบู่อสังหาฯ ผลจากมาตรการเหล่านี้ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนเกิดการชะลอตัวอย่างหนัก ตลาดหุ้นเกิดการย่อตัวลงอีกครั้ง ก่อนที่จะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้งในช่วงถัดมา แต่เศรษฐกิจจีนยังไม่ส่งสัญญาณฟื้นตัวมากนัก หลังจากที่ยังคงมีปัญหาอื่นๆตามมา โดยเฉพาะการกระจายรายได้ที่ยังเป็นปัญหาหลัก เห็นได้จากตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ยังคงไม่ส่งสัญญาณการฟื้นตัวแบบชัดเจน จนทำให้ดัชนี SSE Composite ที่กำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องไปถึงระดับ 5,000 จุด มีการย่อตัวลงอีกครั้ง เป็นผลให้รัฐบาลจีนต้องออกมาตรการสกัดการย่อตัวของตลาดหุ้น ทั้งเรื่องการบังคับให้เหล่าโบรกเกอร์เข้าซื้อหุ้น และการห้ามผู้ถือหุ้นใหญ่ทำการขายหุ้นเป็นเวลา 5 เดือน ทำให้ดัชนีมีการฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง
ในระยะสั้นแล้ว ตลาดหุ้นของจีนอาจมีการฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้งจากผลของมาตรการดังกล่าวที่รัฐบาลจีนต่างทยอยออกมา แต่ในระยะยาวแล้วการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจะต้องสอดคล้องไปกับภาวะเศรษฐกิจจีน หากการปฏิรูปของจีนประสบความสำเร็จ บวกกับการแก้ไขปัญหาต่างๆ มีความลุล่วงไปได้แล้ว ตลาดหุ้นจีนจะฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง และจะเป็นกำลังหลักหนุนให้สินทรัพย์ทั่วโลกฟื้นตัวขึ้นมา แต่หากเศรษฐกิจจีนยังคงซึมยาวต่อไป ท้ายที่สุดแล้ว รัฐบาลจีนอาจไม่สามารถใช้มาตรการพยุงตลาดหุ้น และต้องปล่อยให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงต่อไป และส่งผลลบต่อสินทรัพย์ทั่วโลก
กมลธัญ พรไพศาลวิจิต
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ และผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัด