xs
xsm
sm
md
lg

อีเอ็มซีเพิ่มพอร์ตลงทุนอสังหาฯ หวังทำกำไรเพิ่ม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

เศรษฐวัจน์ ตั้งวัชรพงศ์
อีเอ็มซี เดินหน้าเพิ่มพอร์ตลงทุนอสังหาฯ 75% ลดสัดส่วนงานรับเหมาก่อสร้างเหลือ 25% ชี้ธุรกิจอสังหาฯ กำไรกว่าก่อสร้าง 8-9 เท่า เผยเทกโอเวอร์โครงการที่อยู่อาศัย คอมเมอร์เชียล 7 โครงการ มูลค่า 5,280 ล้านบาท ล่าสุด เปิดตัว แลนด์มาร์กมหาชัย มูลค่า 1,250 ล้านบาท เตรียมเปิดคอนโดฯ 2 โครงการช่วงปลายปี

นายเศรษฐวัจน์ ตั้งวัชรพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน) EMC เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับแผนการดำเนินธุรกิจโดยหันมาเพิ่มพอร์ตการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเป็น 75% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด และลดสัดส่วนธุรกิจก่อสร้างลงเหลือ 25% จากเดิม 100% เนื่องจากเล็งเห็นว่าธุรกิจอสังหาฯ ให้ผลตอบแทนสูง โดยเฉลี่ยกำไรขั้นต้นที่ประมาณ 30-35% ในขณะที่ธุรกิจก่อสร้างมีกำไรขั้นต้นเพียง 5-8% เท่านั้น กำไรสูงกว่า 8-9 เท่า

ที่ผ่านมา บริษัทเน้นการซื้อกิจการโครงการที่อยู่อาศัยทั้งบ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม แทนการพัฒนาใหม่เพื่อให้รับรู้รายได้ได้เร็วขึ้น ควบคู่ไปกับการทุนพัฒนาโครงการเองเพื่อให้รายได้เข้าสู่บริษัทได้อย่างต่อเนื่อง เพราะหากเป็นการพัฒนาโครงการแนวสูงต้องใช้เวลา 2-3 ปี จึงจะก่อสร้างแล้วเสร็จ และโอนรับรู้รายได้

โดยซื้อโครงการอสังหาฯ มาแล้ว 7 โครงการ ได้แก่ โครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย โครงการนอร์ทบีช มูลค่าโครงการ 983 ล้านบาท, โครงการนอร์ทแลนด์ มูลค่า 1,131 ล้านบาท, โครงการสยามไอยรา รีสอร์ท มูลค่า 360 ล้านบาท, โครงการสยามธารามันตรา มูลค่า 231 ล้านบาท, โครงการเวนิชตะวันออก มูลค่า 1,230 ล้านบาท และโครงการคอมเมอร์เชียล 3 โครงการ ได้แก่ สเตชั่นวัน @ ไชน่าทาวน์ 657 ล้านบาท, อเมริกันทาวน์ บ้านบึง มูลค่า 688 ล้านบาท และโครงการที่พัฒนาเอง โครงการแลนด์มาร์กมหาชัย มูลค่า 1,250 ล้านบาท รวม 8 โครงการ มูลค่ารวม 6,530 ล้านบาท

นายเศรษฐวัจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทมั่นใจว่าผลประกอบการในปีนี้จะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้อย่างแน่นอน จากปีก่อนที่บริษัทมีผลขาดทุน 203.69 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ของโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่จะรับรู้รายได้ภายในปีนี้ราว 1,000 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะเข้ามาราว 70% จากปีก่อนบริษัทมีรายได้จากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเท่านั้น

“หลังจากนี้เราจะเน้นการเติบโตจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก เพราะในธุรกิจนี้มีกำไรสูงกว่าธุรกิจรับเหมาถึง 8-9 เท่า ทำให้เรามั่นใจว่า ปีนี้ผลประกอบการจะพลิกกลับมามีกำไรได้ โดยผลประกอบการปี 59 จะมีการเติบโตจากปีนี้กว่าเท่าตัว เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมี Backlog อยู่ในมือแล้วถึง 3,425 ล้านบาท” นายเศรษฐวัจน์ กล่าว

สำหรับปี 2558 บริษัทได้เตรียมเม็ดเงินลงทุนราว 400-500 ล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินในย่านสุขุมวิท และเตรียมเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่อีก 2 แห่ง รวมมูลค่า 1,600 ล้านบาท ช่วงปลายปี รวมทั้งอยู่ระหว่างเจรจาซื้อโครงการอสังหาฯ อื่นๆ อีกหลายแห่ง รวมกว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อนำมาต่อยอด ทั้งชอปปิ้งมอลล์ คอนโดฯ โครงการแนวราบ โดยเน้นโครงการที่ให้ผลตอบแทนบริษัทสูงที่สุด อย่างไรก็ตาม อนาคตบริษัทจะเน้นการพัฒนาโครงการเองเป็นหลัก
แลนด์มาร์คมหาชัย
ล่าสุด บริษัทฯ ได้เช่าที่ดินขนาด 16 ไร่ จากการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) 30 ปี ค่าเช่า 45 ล้านบาท บนถนนนิคมรถไฟใกล้เทศบาลนครสมุทรสาคร เป็นระยะเวลา 30 ปี เพื่อพัฒนาโครงการ “แลนด์มาร์ก มหาชัย” ซึ่งเป็นโครงการมิกซ์ยูส ประกอบด้วย ส่วนที่เป็นคอมมูนิตี มอลล์ และอาคารพาณิชย์ มูลค่าโครงการราว 1,250 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสร้างโครงการแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในช่วงต้นปี 2560

ในส่วนของคอมมูนิตี มอลล์ เป็นอาคาร 4 ชั้น รวมชั้นจอดรถใต้ดิน มีร้านค้าเช่า 61 ร้านค้า และคีออสก์ 43 คีออสก์ ขนาดตั้งแต่ 13-1,047 ตารางเมตร และส่วนอาคารพาณิชย์มี 4 ชั้นต่อยูนิต รวม 101 ยูนิต ขนาด 210 ตารางเมตร

จุดเด่นของโครงการแลนด์มาร์ก มหาชัย ที่สำคัญคือที่ตั้งซึ่งอยู่บนทำเลทองของมหาชัย ใกล้กับเทศบาลนครสมุทรสาคร และสถานีรถไฟมหาชัย ติดถนนหลักเส้นนิคมรถไฟ ทางโครงการฯ ยังเพิ่มความคล่องตัวด้านจราจรขึ้น ด้วยการซื้อที่ดินด้านถนนเอกชัย เพื่อเปิดเป็นทางเข้าออกโครงการอีกหนึ่งจุด ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการเข้าถึงโครงการ และปัญหาจราจร รองรับการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลนครสมุทรสาครกว่า 60,100 คน หรือกว่า 18,100 ครัวเรือน ส่วนชอปเฮาส์ซึ่งจะเป็นย่านธุรกิจแห่งใหม่ของมหาชัย เปิดโอกาสให้ผู้สนใจทำธุรกิจเปิดร้านค้า และสำนักงาน ภายในโครงการฯ ยังมีพื้นที่จอดรถจำนวนมากสามารถรองรับรถยนต์ได้เกือบ 600 คัน

เริ่มเปิดจองสิทธิในส่วนของอาคารพาณิชย์ หรือชอปเฮาส์แล้ว ตั้งแต่วันนี้จนถึง 8 สิงหาคมนี้ โดยผู้ครอบครองมีสิทธิถือครองกรรมสิทธิ์เป็นระยะเวลา 30 ปี ราคาเริ่มต้นที่ 8.5 ล้านบาทต่อยูนิต หรือคิดเป็นราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรอยู่ที่ประมาณ 40,000 บาท ขณะนี้มีผู้จองสิทธิกว่า 60% แล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น