“ธีระชัย” มองเศรษฐกิจครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้น แนะแบงก์ชาติดูแลค่าเงินบาทมากกว่าดอกเบี้ย เชื่อยังอ่อนค่าลงได้อีก “คลัง” เดินหน้าขายหุ้นบริษัทเอกชนใช้หนี้ 7 แสนล้าน ย้ำไม่แตะรัฐวิสาหกิจทั้งใน และนอดตลาดหลักทรัพย์ฯ สั่งเบรกรัฐวิสาหกิจตั้ง บ.ลูก เร่งคลอดเกณฑ์ชง “ซูเปอร์บอร์ด” ยอมรับที่ผ่านมา มีการแห่ตั้ง บ.ลูกกันอย่างมากมายจนทำให้เกิดความเสียหาย
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงทิศทางสถานการณ์เงินบาทที่อ่อนค่าในขณะนี้ โดยระบุว่า เป็นหน้าที่หลักของกรรมการนโยบายการเงินในระยะต่อไปที่ควรจะเน้นดูแลค่าเงินมากกว่าดอกเบี้ย และบริหารจัดการค่าเงินให้อ่อนค่าลง เพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งเชื่อว่าเงินบาทยังสามารถอ่อนค่าลงได้อีก
ส่วนเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังเชื่อว่ากำลังฟื้นตัวจากนโยบายของภาครัฐที่มีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งหากภาครัฐให้การสนับสนุนนักลุงทุนให้มีความเชื่อมั่นในการขยายกิจการการลงทุน จะส่งผลให้ให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ในส่วนของ GDP ที่หลายองค์กรมีการปรับลดลงนั้นก็ไม่น่าเป็นห่วง เพราะปลายปีที่ผ่านมา ได้มีการคาดการณ์การเติบโตไว้สูงเกินไป การปรับลดลงนั้นถือเป็นเรื่องปกติ
นายธีระชัย กล่าวถึงการใช้จ่ายของภาคประชาชนว่า ขณะนี้ยังมีปัญหาโดยเฉพาะหนี้ค้างชำระของประชาชนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ใช้จ่ายของประชาชนลดลง หากภาครัฐมีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าได้ก็จะส่งผลให้ประชาชนใช้จ่ายได้มากขึ้น ส่วนเรื่องหนี้ประชาชนนั้น หากปล่อยค้างไว้นานจะส่งผลให้มีปัญหาระยะยาวในอนาคต
นายกุลิศ สมบัติศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ตนเองได้รับนโยบายจาก นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการศึกษาเกี่ยวกับการขายหุ้นรัฐวิสาหกิจเพื่อนำมาเป็นส่วนหนึ่งในการใช้หนี้ พ.ร.บ.ใช้หนี้ 7 แสนล้านบาท ภายใต้แนวทางที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้มาคือ ไม่ใช่การขายหุ้นรัฐวิสาหกิจสิ่งที่จะพิจารณาขายคือหุ้นในบริษัทเอกชนที่กระทรวงการคลังถืออยู่ในบริษัทเอกชน ทั้งในตลาดหลักทรัพย์ และนอกตลาดหลักทรัพย์ มีอยู่กว่า 100 บริษัท เนื่องจากกิจการเหล่านี้เป็นกิจการเอกชนไม่ได้มีส่วนใดเกี่ยวข้องต่อการให้บริการสาธารณะ
ทั้งนี้ สคร.กำลังทบทวนว่าจะขายกิจการเหล่านี้หรือไม่อย่างไร เพราะบางกิจการได้มาจากการยึดทำให้คลังต้องเข้าไปถือหุ้น เช่น กิจการโรงพยาบาล กิจการหินก่อน กิจการนมข้น เป็นต้น ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องถือหุ้นก็ควรพิจารณาขายออกไป
ส่วนมูลค่าอยู่ระหว่างการรวบรวม และคำนวณอยู่ โดยบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์สามารถดูจากมูลค่าในตลาดได้ แต่บริษัทที่อยู่นอกตลาดก็คงจะต้องจ้างบริษัทเอกชนมาประเมินสถานะกิจการ หรือดีลดิลิเจนซ์ โดยอาจจะทำพร้อมกันเป็น 10-20 บริษัท เพื่อจะดูมูลค่าตามบัญชี (บุ๊กแวลู) ควรจะขายราคาใด ราคาตลาด หรือราคาตามบุ๊กแวลู
นายกุลิศ กล่าวว่า ขณะนี้ สคร.อยู่ระหว่างการจัดทำเกณฑ์การขอจัดตั้งบริษัทลูก และบริษัทหลานของรัฐวิสาหกิจตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มอบหมายให้ไปดูแลเรื่องการจัดตั้ง และดูแลบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจให้มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ปล่อยให้ตั้งบริษัทลูกมากมายแล้วทำธุรกิจโดยที่รัฐไม่เข้าไปดู เพราะท้ายที่สุดผลกระทบก็จะส่งมาถึงตัวรัฐวิสาหกิจ
“เรื่องนี้ถือเรื่องเร่งด่วนที่ สคร.จะต้องเร่งดำเนินการทำเกณฑ์ และเตรียมเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) หรือซูเปอร์บอร์ด เพื่อเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป”
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ที่จะกำหนดนั้นในเบื้องต้นจะมี 2 ส่วน ดังนี้ 1.เกณฑ์ในการจัดตั้งบริษัทลูก ซึ่งจะดูความจำเป็น ดูว่าต้องไม่ทำธุรกิจแข่งกับแม่ และไม่มีการผูกขาด 2.การกำกับดูแลกิจการที่ได้จัดตั้งไปแล้วให้มีประสิทธิภาพ มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี (ซีจี) ไม่ใช่ตั้งแล้วปล่อยไป บางแห่งขาดทุนทำให้รัฐวิสาหกิจต้องตั้งสำรองชดเชย เพราะที่ผ่านมา รัฐวิสาหกิจมีการตั้งบริษัทลูกหลานมากมายเกือบ 100 บริษัท ซึ่งทาง สคร. เองไม่ได้เข้าไปควบคุมดูแลในส่วนนี้ เพราะรัฐไม่ได้ถือหุ้นโดยตรง