“ผู้จัดการ ตลท.” หนุนคนไทยวางแผนการออม เพิ่มผลตอบแทน พร้อมรับมือสังคมผู้สูงอายุ “วิวรรณ” ยอมรับ มนุษย์เงินเดือนตื่นตัวความไม่แน่นอนในอนาคตมากขึ้น แต่อาจมีการวางแผนการเงินไม่ดีพอ อาจตกเป็นเหยื่อแก๊งมิจฉาชีพ แนะใช้การวางแผนเบื้องต้น กระจายสัดส่วนตามความเสี่ยง “ซีอีโอ บล.เมย์แบงก์ฯ” มองหุ้น Q3 ไม่ต่างจาก Q2 มากนัก เพราะภาพการเมืองในประเทศยังคงไม่ชัดเจน ขณะที่เฟดก็ยังไม่ความชัดเจนเกี่ยวกับการขึ้น หรือคงอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะมีความแน่นอนประมาณปลาย Q3 หรือประมาณเดือน ก.ย.นี้
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวในงานเสวนา “พลิกชีวิตให้มั่งคั่งอย่างมั่นคง” โดยระบุว่า คนไทยยังมีการออมเงินน้อยมาก โดยมีสัดส่วนการออมเพียง 30-40% ของผลผลิตมวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เทียบกับคนในมาเลเซียและสิงคโปร์ที่มีสัดส่วนการออมถึง 40-60% ของจีดีพี ขณะที่คนในแถบยุโรปมีสัดส่วนออมมากกว่า 100%
ดังนั้น ตลท.จึงต้องให้ข้อมูลเพื่อให้ประชาชนตระหนัก และเห็นถึงความสำคัญการบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคล โดยที่ผ่านมาก็เริ่มเห็นประชาชนหันมาลงทุนมากขึ้นหลังอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยปัจจุบันมีจำนวนบัญชีผู้ลงทุนกองทุนรวมราว 4.4 ล้านบัญชี และบัญชีหลักทรัพย์ 1.1 ล้านบัญชี
“เรามีหน้าที่ทำให้เห็นความสำคัญการบริหารจัดการการเงิน เหมือนกับการออกกำลังกาย ถ้าต้องการสุขภาพดี ขี้เกียจก็ไม่ได้ การบริหารจัดการการเงินก็เช่นเดียวกัน ไม่ได้มีแต่เรื่องลงทุนหุ้นอย่างเดียว” นางเกศรา กล่าว
ที่ผ่านมา คนไทยนิยมออมเงินผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ส่วนใหญ่เน้นการลงทุนตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนต่ำประมาณ 1-5% ดังนั้น การวางแผนการเงินโดยนักวางแผนการเงินมืออาชีพเข้ามาช่วยวางแผนกระจายการลงทุน น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น
โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 17% แต่ก็มีความเสี่ยงในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ดี หากลงทุนระยะยาวจะเป็นตัวเลือกที่ดีตัวหนึ่ง ขณะที่พันธบัตรให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 4% ต่อปี ส่วนเงินฝากให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 2% ต่อปี
ผู้จัดการ ตลท. กล่าวย้ำว่า ณ วันนี้ ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว โดยมีผู้สูงอายุกว่า 10% ของจำนวนประชากรรวม 68 ล้านคน และจะขยับเป็น 20% ในไม่กี่ปีข้างหน้า ถ้าหากไม่ออมเงินและบริหารจัดการการเงินในวันนี้ก็จะมีปัญหาในวันข้างหน้า และเชื่อมั่นว่าถ้ามีการบริหารจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยลดปัญหาหลายๆ เรื่องลงได้
ด้านนางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ กรรมการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย กล่าวว่า ตอนนี้คนไทยโดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนตื่นตัวในการวางแผนการเงิน แต่ยังต้องมีทักษะการเงินมากขึ้นเพื่อป้องกันตัวเองไม่ตกเป็นเหยื่อคนที่ไม่หวังดี และเพื่อความมั่งคั่งของต้วเอง ปัจจุบัน สัดส่วนผู้ที่ไม่มีเงินออมสูงถึง 22.6% และมีจำนวนเกินครึ่งของประชากรไทยที่มีแนวโน้มออมเงินไม่พอใช้สำหรับวัยเกษียณ และมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไม่มากพอ จึงต้องเริ่มวางแผนการเงินด้วยตัวเอง
นอกจากนี้ แนะนำการวางแผนลงทุนเบื้องต้นให้กระจายเงินลงทุนไปในตลาดหุ้น 10-15% ตราสารหนี้ 30-40% แต่ไม่แนะนำลงทุนทองคำ เพราะในช่วง 2 ปีนี้ ราคาทองคำจะไม่ไปไหน
ส่วนนางบุญพร บริบูรณ์ส่งศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) คาดว่า ตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 3/58 จะไม่แตกต่างจากไตรมาส 2/58 มากนัก เพราะภาพการเมืองในประเทศยังคงไม่ชัดเจน ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก็ยังไม่ความชัดเจนเกี่ยวกับการขึ้น หรือคงอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะมีความแน่นอนประมาณปลายไตรมาส 3 หรือประมาณเดือน ก.ย.นี้
สำหรับคำแนะนำหุ้นที่น่าลงทุน ได้แก่ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องดื่มชูกำลัง อุตสาหกรรมก่อสร้างที่เกี่ยวก้บงานภาครัฐ และกลุ่ม Transport รถไฟฟ้าและธุรกิจการแพทย์ กลุ่มโรงพยาบาล ส่วนกลุ่มควรเลี่ยงการลงทุน ได้แก่ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ซัปพลายมีมากขึ้น กลุ่มพลังงานจากราคาน้ำมันผันผวน และกลุ่มเหล็ก