เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์คอร์ปอเรชั่น เดินหน้าซื้อรถตัดอ้อยเพิ่มอีก 13 คัน และรถเก็บใบอ้อยอีก 3 คัน หวังได้อ้อยสดเข้าหีบเพิ่ม และได้ใบอ้อยไปใช้ในโรงงานผลิตไฟฟ้า เพิ่มรายได้จากการขายไฟฟ้าด้วยระยะเวลาผลิตไฟฟ้าที่นานขึ้น
นายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจชีวพลังงานและผลิตภัณฑ์ บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ซื้อรถตัดอ้อยเพิ่มเติมอีกจำนวน 13 คัน และรถเก็บใบอ้อยอีก 3 คัน ซึ่งจะทำให้สามารถเพิ่มปริมาณอ้อยสด ลดอ้อยไฟไหม้ และได้เชื้อเพลิงชีวมวลที่จะนำมาผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้น
“ทางกลุ่ม KTIS ได้ใช้ความพยายามมาตลอดที่จะทำให้ชาวไร่อ้อยนำอ้อยสดส่งเข้าโรงงาน แต่ก็ติดปัญหาเรื่องของแรงงานตัดอ้อยที่ขาดแคลน กลุ่มเราจึงได้ลงทุนในเรื่องของรถตัดอ้อย นอกจากนี้ ยังมีการรณรงค์ให้ความรู้กับชาวไร่อ้อย การตั้งหมู่บ้านอ้อยสด การจูงใจด้วยการมอบรางวัลอ้อยสดประจำปี และปีนี้เรามีโครงการรับซื้อใบอ้อยด้วย ซึ่งหากอ้อยถูกไฟไหม้ก็จะไม่มีใบอ้อยมาขาย จึงเชื่อว่าโครงการนี้จะได้ผลในการลดสัดส่วนของอ้อยไฟไหม้ลง” นายณัฎฐปัญญ์ กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจชีวพลังงานและผลิตภัณฑ์ KTIS กล่าวว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีใบอ้อยจำนวนมากที่ถูกไฟไหม้ และอีกจำนวนมากที่ไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ ซึ่งการเอาจริงเอาจังต่อการจัดเก็บใบอ้อยมาใช้ประโยชน์นี้จะทำให้ได้เชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าได้ยาวนานขึ้น และสร้างรายได้มากขึ้นสำหรับกลุ่ม KTIS
ทั้งนี้ โรงไฟฟ้า KTBP ที่จังหวัดนครสวรรค์ ขนาด 60 เมกะวัตต์ ที่ผ่านมาสามารถเปิดเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 9 เดือนต่อปี แต่ในปีนี้บริษัทฯ พยายามยืดระยะเวลาของการผลิตไฟฟ้าให้ยาวนานขึ้น ด้วยการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลต่อหน่วยพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในโรงงานน้ำตาลให้น้อยลง และการเพิ่มปริมาณเชื้อเพลิงชีวมวลใหม่ๆ
“ชานอ้อยที่เป็นผลิตผลเหลือใช้จากการผลิตน้ำตาลนั้น ส่วนหนึ่งจะนำไปใช้ผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้ภายในโรงงานน้ำตาล ซึ่งโรงไฟฟ้าเดิมที่ใช้อยู่จะได้แรงดันไอน้ำไม่สูงเท่าโรงไฟฟ้าใหม่ ดังนั้น บริษัทฯ จึงได้ปรับเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเทคโนโลยีใหม่มากขึ้น ทำให้ใช้ปริมาณชานอ้อยต่อหน่วยพลังงานไฟฟ้าน้อยลง และเหลือชานอ้อยที่ช่วยยืดระยะเวลาของการผลิตไฟฟ้าให้ยาวนานขึ้นด้วย” นายณัฎฐปัญญ์ กล่าว