“KTIS” รับลูกนโยบายรัฐในการเปลี่ยนนาข้าวเป็นไร่อ้อย เผยไม่ห่วงการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ เหตุลูกค้าในประเทศเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่เติบโตอย่างมั่นคง เตรียมดัน “ซูมิโตโม” บุกตลาดต่างประเทศ มั่นใจปีนี้รายได้เติบโตต่อเนื่องจากโรงไฟฟ้าที่เพิ่มใหม่ 2 โรง 100 เมกะวัตต์ และโรงงานผลิตน้ำเชื่อมและน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษ รวมถึงโรงงานปุ๋ยชีวภาพ
นายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจชีวพลังงานและผลิตภัณฑ์ บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เปิดเผยว่า ในรอบปี 2557 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้นำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนจำนวน 3,772 ล้านบาท ไปลงทุนตามวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งไว้ครบถ้วนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล 2 โรง กำลังการผลิตโรงละ 50 เมกะวัตต์ ใช้เงินประมาณ 1,400 ล้านบาท การลงทุนในโครงการผลิตน้ำเชื่อม (Liquid Sucrose) และโครงการผลิตน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษ (Super Refined Sugar) 980 ล้านบาท สร้างโรงงานปุ๋ยชีวภาพ 20 ล้านบาท ที่เหลือนำไปชำระหนี้และเป็นเงินทุนหมุนเวียน
“โครงการต่างๆ เหล่านี้ เป็นการใช้ประโยชน์จากผลผลิตที่ได้จากการผลิตน้ำตาลให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงเป็นการขยายโรงงานหรือสร้างโรงงานอยู่ภายในพื้นที่ใกล้เคียงกับโรงงานน้ำตาลทราย ทั้งที่จังหวัดนครสรรค์ และจังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อให้บริหารต้นทุนการขนส่งวัตถุดิบได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยโครงการเหล่านี้ทั้งหมดจะเริ่มรับรู้รายได้ในปีนี้ ซึ่งจะทำให้รายได้ปี 2558 เติบโตจากปีก่อนอย่างแน่นอน”
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ในด้านการลงทุนนั้น บริษัทฯ มองที่แหล่งวัตถุดิบเป็นหลัก โดยวัตถุดิบของบริษัทฯ คืออ้อย ซึ่งนโยบายของภาครัฐก็ออกมาชัดเจนแล้วว่าจะเพิ่มพื้นที่ปลูกอ้อย โดยการเปลี่ยนที่นาบางส่วนเป็นไร่อ้อย ดังนั้น การลงทุนในประเทศจึงไม่ต้องกังวลเรื่องของวัตถุดิบ ที่จะนำไปผลิตเป็นน้ำตาลทราย และผลพลอยได้ยังนำเข้าสู่อุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ เช่น ไฟฟ้า เอทานอล เยื่อกระดาษ และปุ๋ย เป็นต้น ทั้งนี้ การขยายการลงทุนของบริษัทฯ ยังสามารถช่วยสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยได้ว่า จะมีผู้รับซื้ออ้อยจากเกษตรกรอย่างแน่นอน
“เมื่อมีการลงทุนมากขึ้น มีผลผลิตออกมามากขึ้น ก็จำเป็นต้องมีการตลาดที่แข็งแกร่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างรายได้และกำไรให้เติบโตขึ้น โดยลูกค้าในประเทศบริษัทฯ เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มีความมั่นคงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนตลาดต่างประเทศนั้น ก็ถือเป็นจุดแข็งที่มีพันธมิตรธุรกิจที่แข็งแกร่งอย่างซูมิโตโม ที่สามารถหาลู่ทางการตลาดในต่างประเทศให้กับสินค้าของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี”
การเข้าไปลงทุนในต่างประเทศจะต้องประเมินถึงผลได้ผลเสียให้รอบด้าน ทั้งเรื่องต้นทุนต่างๆ รวมถึงความเสี่ยงในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคง ของประเทศที่จะเข้าไปลงทุน จึงเห็นว่า หากบริษัทฯ ยังสามารถเติบโตได้ดีจากการลงทุนในประเทศไทย ก็ทำตรงนี้ให้เต็มที่ก่อน ส่วนในต่างประเทศนั้นจะใช้การตลาดเป็นตัวนำ และหากเห็นลู่ทางของการลงทุนที่ชัดเจน มั่นคงเพียงพอแล้วจึงจะพิจารณาเรื่องการลงทุน
“ตอนนี้เรากำลังมองเรื่องการดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพื่อช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของไทย อย่างเช่นแนวคิดของไบโอฮับ (Bio Hub) รองรับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียนหรือ AEC ที่ต้องการใช้ศักยภาพของไทยเราผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านอุตสาหกรรมชีวภาพ จากความได้เปรียบในการแข่งขันอยู่หลายประการ ทั้งด้านทำเลที่ใกล้เคียงที่จะเข้าสู่ประเทศเมียมาร์ และลาว และเป็นอุตสาหกรรมแบบอ้อยและน้ำตาลจากโรงงานผลิตเยื่อกระดาษจากชานอ้อย โรงงานเอทานอล โรงไฟฟ้า และโรงงานปุ๋ยชีวภาพแบบครบวงจร”