สภาธุรกิจตลาดทุนฯ เผยดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุนใน 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลง สะท้อนปัญหาเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว และถือเป็นปัจจัยหลักสำคัญที่กดดันตลาดฯ ระบุ จีดีพีปีนี้ หากโตได้ถึง 3.0-3.5% ก็ถือว่าน่าพอใจแล้ว เมื่อพิจารณาจากปัจจัยทั้งใน และนอกประเทศ ด้านโบรกฯ ฟันธง กนง. ยังไม่หั่น ดบ. เพราะต้องการเก็บกระสุนที่เหลือน้อยเอาไว้ใช้ยามจำเป็น
นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในเดือนมิถุนายน 2558 ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นใน 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงถึงร้อยละ 14.7 อยู่ที่ 88.16 ลดลงจากเดือนก่อนที่อยู่ที่ 102.72 โดยนักลงทุนกลุ่มบัญชีตลาดหลักทรัพย์มองว่า ดัชนีความเชื่อมั่นปรับลดลงจนแตะระดับซบเซา ขณะที่ความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติเริ่มมีมุมมองเชิงบวกเป็นครั้งแรกหลังจากที่เห็นความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายลงทุนของภาครัฐ
ส่วนปัจจัยเชิงลบที่มีอิทธิพลต่อความเชื่อมั่นมากที่สุด คือ สถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งมีความกังวลเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ช้า ขณะที่ปัจจัยบวกคือ การเดินหน้านโยบายด้านเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยอุตสาหกรรมที่น่าลงทุนคือ ปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์ ส่วนหมวดธนาคาร ไม่น่าลงทุนมากที่สุด
นางวรวรรณ ยังคาดว่า จีดีพีปีนี้น่าจะโตได้ที่ร้อยละ 3-3.5 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจแล้ว เมื่อพิจารณาจากปัจจัยทั้งภายใน และภายนอกประเทศ โดยเฉพาะภาคส่งออกที่แม้จะยังชะลอ แต่ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ช่วยเหลือผู้ส่งออกเต็มที่แล้วด้วยการดูแลค่าเงินบาทให้อ่อนลง
ด้านปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศขณะนี้ยังตึงตัว โดยเฉพาะภาระหนี้ครัวเรือนของประชาชน ที่แตะร้อยละ 90 ต่อจีดีพี โดยเฉพาะหนี้บุคคล และบัตรเครดิตต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า 3-6 เดือนหลังจากนี้ กำลังซื้อจะค่อยๆ ฟื้นตัวกลับคืนมาเมื่อภาระหนี้เริ่มผ่อนคลาย
ด้าน นายกำพล อดิเรกสมบัติ หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ ทิสโก้ เชื่อว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 1.50 ในการประชุมวันที่ 10 มิถุนายน 2558 นี้ เพราะขณะนี้เศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณที่ฟื้นตัวขึ้น
ดังนั้น กนง.จะเก็บกระสุนไว้ใช้ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวมากกว่าตอนนี้ และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังโดยปัจจัยสำคัญคือ การท่องเที่ยว การลงทุนภาครัฐที่มีการฟื้นตัวอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ขณะที่การบริโภคในประเทศ และการลงทุนเอกชนจะเริ่มฟื้นตัวได้ชัดเจนมากขึ้น จากนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง และความชัดเจนจากการลงทุนของภาครัฐ