เอ็น.ดี.รับเบอร์ มั่นใจแนวโน้มรายได้ปี 58 เติบโต 10% ตามเป้าหมาย หลังเดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศเต็มสูบ ด้านผู้บริหาร เผยเตรียมเซ็นสัญญารับออเดอร์ใหม่จากอินเดีย มูลค่า 50-80 ล้านบาทต่อปี ภายในไตรมาส 2/58 นี้ ดันรายได้พุ่ง
นายชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NDR เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2 ปีนี้น่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากบริษัทได้รับคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องจากในประเทศ และต่างประเทศ และมั่นใจว่ารายได้รวมในปีนี้จะเติบโต 10% จากปีก่อน เนื่องจากมีการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 60% จากเดิม 50% และตั้งเป้ารักษาอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ในปีนี้ ให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 7% โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการด้านต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับความคืบหน้าการเจรจาออเดอร์ใหม่จากประเทศอินเดีย มูลค่า 50-80 ล้านบาทต่อปี ปัจจุบันได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแต่รอวันที่สะดวกเพื่อเซ็นสัญญา โดยคาดว่าจะสามารถเซ็นสัญญาได้ภายในไตรมาส 2 ปีนี้ ซึ่งออเดอร์ใหม่ที่เข้ามาจะเป็นตัวช่วยผลักดันผลประกอบการในปี 58 ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
“เราเน้นการทำกิจกรรมกับตัวแทนจำหน่ายมากขึ้น หลังจากที่สินค้าในกลุ่มตลาดทดแทนภายในประเทศ (REM) ค่อนข้างซบเซาจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ขณะเดียวกัน ยังเน้นการรับจ้างผลิต (OEM) ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดย OEM ในประเทศมีแผนขยายตลาดไปยังลูกค้ากลุ่มผู้ผลิตรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบัน ได้เริ่มส่งออเดอร์ให้แก่กลุ่มซูซูกิแล้วอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ OEM ในต่างประเทศ นอกเหนือจากกลุ่มลูกค้าหลักที่มาเลเซียแล้ว บริษัทยังมีแผนการขยายตลาดไปยังอินเดียเพิ่มเติม” นายชัยสิทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้ ผลประกอบการในไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 178 ล้านบาท ลดลง 4.22% จากช่วงปีก่อนมีรายได้รวมอยู่ที่ 186 ล้านบาท สาเหตุที่ทำให้รายได้ลดลงนั้นมาจากตลาดในมาเลเซีย ซึ่งเป็นตลาดหลักในการส่งออกมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องการจัดเก็บภาษี ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2558 ทำให้ลูกค้ามีการชะลอการสั่งซื้อสินค้า และมีการขอให้เก็บสินค้าไว้ที่คลังเราก่อน และให้ส่งสินค้าดังกล่าวหลังวันที่ 1 เมษายน 2558 ทำให้รายได้ที่ควรจะอยู่ในไตรมาส 1 จำนวนประมาณ 9 ล้านบาท จะถูกบันทึกเป็นรายได้ในไตรมาส 2/2558 ขณะที่มีกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2558 อยู่ที่ 4.7 ล้านบาท จากช่วงปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 10.8 ล้านบาท เนื่องจากค่าเสื่อมราคาที่สูงขึ้น จากการรับรู้ทรัพย์สินก่อสร้าง และเครื่องจักรที่ลงทุนในปี 2557 ประกอบกับรายได้ส่งออกที่ลดลงในไตรมาสแรกที่จะไปรับรู้เป็นรายได้ในไตรมาส 2/2558 แทน
แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดการณ์ว่า ไตรมาส 1/2558 จะเป็นไตรมาสที่รายได้ และกำไรต่ำที่สุดของปี 2558 และจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาสต่อๆ ไป โดยยังคงเป้าหมายการขยายตัวของรายได้ และผลกำไรตามแผนที่บริษัทได้ตั้งไว้ไม่เปลี่ยนแปลง
“ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2558 ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้แล้ว หลังจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวลง ทำให้คำสั่งซื้อชะลอตัวลงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าทิศทางหลังจากนี้น่าจะฟื้นตัวดีขึ้น โดยเราได้ปรับกลยุทธ์ขยายตลาดในต่างประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยง และขยายฐานรายได้” นายชัยสิทธิ์ กล่าว