xs
xsm
sm
md
lg

“PMTA” เฟิร์สเดย์ เทรดหุ้นพุ่ง 52.77%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.พีเอ็ม โทรีเซน เอเชีย โฮลดิ้งส์ หรือ PMTA
รายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงการเปิดซื้อขายวันแรกของ บมจ.พีเอ็ม โทรีเซน เอเชีย โฮลดิ้งส์ หรือ PMTA ผู้ประกอบกิจการผลิตปุ๋ยในประเทศเวียดนาม โดยทันทีที่เปิดตลาดราคาหุ้นของ PMTA ปรับตัวขึ้นไปที่ 27.50 บาท/หุ้น หรือเพิ่มขึ้น 9.50 บาท คิดเป็น 52.77% จากราคา IPO ที่ 18 บาท มูลค่าการซื้อขาย 192.38 ล้านบาท

นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ประธานกรรมการ บมจ.พีเอ็ม โทรีเซน เอเชีย โฮลดิ้งส์ หรือ PMTA กล่าวว่า บริษัทฯ เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในลักษณ์ของธุรกิจที่เป็น holding company (ประกอบธุรกิจหลักในต่างประเทศ) ซึ่งมี บริษัท บาคองโค จำกัด ในประเทศเวียดนาม เป็นบริษัทหลัก โดยบริษัทดำเนินธุรกิจธุรกิจหลักคือ การผลิตปุ๋ยเคมีและผลิตภัณฑ์ ตลอดจนเคมีเพื่อการเกษตรอื่น ภายใต้เครื่องหมายการค้า STORK

อย่างไรก็ตาม พีเอ็ม โทรีเซน เอเชีย โฮลดิ้งส์ ถือว่าเป็นบริษัทลูกของ บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ หรือ TTA โดยผู้ถือหุ้นหลัก 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ ถือหุ้นในสัดส่วน 65% นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ถือหุ้นจำนวน 5.9% และบริษัท Raffles Resources 1 LTD (ซึ่งเป็นนิติบุคคลของคุณเฉลิมชัย มหากิจศิริ) ถือหุ้น จำนวน 2%

ขณะที่ในส่วนของฝ่ายวิเคราะห์ของ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET ได้กล่าวว่า PMTA เป็นบริษัทลูกของ TTA ซึ่งเป็นผู้ผลิตปุ๋ยแบบ Premium ในเวียดนาม ซึ่งมีจุดเด่นที่ราคาเสนอขายที่ดูจะมีส่วนต่างให้แก่ผู้จองซื้อพอสมควร โดยหากสมมติฐานให้อัตรากำไรเติบโต 10% (vs ค่าเฉลี่ย 18% ต่อปีก่อนหน้า) ส่วนในภาพธุรกิจ กำไรอยู่ในเกณฑ์สม่ำเสมอดีหลัง TTA เข้ามาบริหาร และมีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นได้อีกจากการขยายกำลังการผลิต และเน้นบุกตลาดส่งออกที่ให้มาร์จิ้นสูงต่ออุตสาหกรรมการเกษตร กับ PMTA และภาคการเกษตรของประเทศเวียดนาม กำลังมีจุดเปลี่ยนแปลงคือ พื้นที่การเกษตรที่เริ่มลดลงเรื่อยๆ จากการผันตัวไปสู่ประเทศอุตสาหกรรม ทำให้ความต้องการผลผลิตทางการเกษตรต่อไร่จะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งปุ๋ยเคมีเกษตรถือเป็นหนึ่งในกระบวนวิธีการเพิ่มผลผลิตนี้ ส่งผลดีต่อผู้ผลิตเคมีอย่าง PMTA โดยตรง นอกจากนี้ PMTA เพิ่งขยายกำลังการผลิตอีก 29% เสร็จในปี 2557 เพื่อรองรับอุปสงค์ข้างต้น รวมถึงขยายตลาดส่งออกเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยขยายอัตรากำไรให้ดียิ่งขึ้นไปอีกด้วย

ขณะที่ในส่วนของภาวะธุรกิจของ PMTA ที่มีส่วนแบ่งตลาด 25% ในปุ๋ย NPK และ 9% ในปุ๋ยเคมีเชิงผสม ของเวียดนาม ระหว่างปี 2555-57 มีอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยปีละ 22% ผลักดันจากความนิยมในปุ๋ยเคมีที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทดแทนปุ๋ยอินทรีย์แบบดั้งเดิม และความสำเร็จในการปรับปรุงการผลิตเพื่อสร้าง value added ของบริษัท อย่างไรก็ดี จุดอ่อนของธุรกิจคือ ความผันผวนของฤดูฝนในเวียดนาม ซึ่งจะส่งผลต่อการใช้ปุ๋ยของเกษตรกร โดยโอกาสที่ PMTA กำลังจะมุ่งจากนี้ไปคือ การขยายตลาดส่งออกให้มากขึ้นจากเดิม 30% ของรายได้รวม ซึ่งจะช่วยขยายอัตรากำไรเพิ่มขึ้นได้อีก รวมถึงแผนการเพิ่มพื้นที่คลังสินค้าให้เช่า เพื่อเสริม Recurring income ในระยะยาว ส่วนแรงกดดันของธุรกิจนี้คือ ธุรกิจปุ๋ยแบบ Premium มีอัตรากำไรที่สูงเกือบ 20% ทำให้อาจดึงดูดผู้ประกอบการใหม่ๆ เข้ามาในตลาดได้ แต่การที่รัฐบาลเวียดนามยังคงเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดปุ๋ย ทำให้อาจมองได้ว่าเป็นเกราะกำบังอย่างหนึ่งที่ดีของธุรกิจนี้ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น