ไพโอเนียร์ มอเตอร์ แปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชนแล้ว ใช้ชื่อย่อว่า PIMO เตรียมยื่นไฟลิ่งต่อ ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้น จำนวน 120 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.25 บาท ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2558 และจะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในเดือนกันยายน-ตุลาคม 2558
นายวสันต์ อิทธิโรจนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนียร์ มอเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIMO เปิดเผยว่า บริษัทได้รับหนังสือยืนยันการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา โดยมีทุนจดทะเบียน 130 ล้านบาท แบ่งเป็นทุนชำระแล้ว 100 ล้านบาท โดยภายหลังการจดทะเบียนดังกล่าว บริษัทจะใช้ชื่อ บริษัท ไพโอเนียร์ มอเตอร์ จำกัด (มหาชน) และมีชื่อย่อว่า “PIMO” ในการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)
ขณะที่เตรียมยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้น จำนวน 120 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.25 บาท ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2558 เพื่อจะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในเดือนกันยายน-ตุลาคม 2558 โดยแต่งตั้ง บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
โดยวัตถุประสงค์ในการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เนื่องจากจะช่วยให้มีความมั่นคง หวังเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มศักยภาพด้านการตลาด รวมไปถึงมีเงินทุนในการขยายธุรกิจให้เติบโตแบบยั่งยืน และการที่บริษัทเป็นบริษัทมหาชน ทำให้ PIMO เป็นบริษัทที่มีความโปร่งใส ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่คู่ค้า พันธมิตร และคาดจะช่วยหนุนให้กิจการเติบโตได้ในอนาคต PIMO หนึ่งในผู้นำทางด้านการผลิตและจัดจำหน่ายมอเตอร์สำหรับเครื่องปรับอากาศ (Air Movement Motor) มอเตอร์กำลัง (Induction Motor) และเครื่องสูบน้ำ (Submersible Pump) ที่มีประสิทธิภาพสูง ภายใต้สินค้า Pioneer สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 3 ปี ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2554-2556 บริษัทมีรายได้ในปี 2554 มูลค่า 362 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 470 ล้านบาท ในปี 2556 และมีกำไรสุทธิในปี 2554 เป็นจำนวน 6.6 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิในปี 2557 จำนวน 29.9 ล้านบาท โดยรายได้มาจากสินค้าประเภทมอเตอร์แอร์คอนดิชันนิ่งเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนรายได้ในประเทศ 70% และต่างประเทศ 30%
นายวสันต์ กล่าวถึงแผนการดำเนินงานปี 2558 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 30% แตะ 600 ล้านบาท และคาดว่ารายได้จะเติบโตขึ้นแตะระดับ 1,000 ล้านล้าน ภายใน 3 ปี (2558-2560) หรือเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี โดยการเติบโตมาจาก 2 ปัจจัย โดยปัจจัยแรกคือ การเติบโตจากดำเนินงานปกติ จากโปรดักต์ที่บริษัทดำเนินการในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม อยู่ระหว่างการมองหาช่องทาง และผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มยอดขายซึ่งยังไม่รวมกับเป้าการดำเนินงานตามปกติ