โฮลซิม ขายหุ้นที่ถือใน “ปูนซีเมนต์นครหลวง” ส่วนใหญ่ให้ JC&C บริษัทชั้นนำในสิงคโปร์ ชี้การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของผู้ถือหุ้นไม่มีผลต่อ SCCC มากนัก เพราะ “กลุ่มรัตนรักษ์” ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 45.37% คาดกำไรปี 2558 จะทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง แม้ปรับประมาณการลดลง
บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC หลังจาก โฮลชิม ขายหุ้น 27.5% ให้บริษัท Jardine Cycle & Carriage Limited หรือ JC&C 24.9% และนักลงทุนสถาบัน 2.6% บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า SCCC ได้แจ้งเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น คือ ทางโฮลซิม ตกลงจะขายหุ้นทั้งหมด 63 ล้านหุ้น หรือ 27.5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด แบ่งเป็น จำนวน 57 ล้านหุ้น หรือ 24.9% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดให้แก่ JC&C ในราคา 350 บาทต่อหุ้น และจำนวน 6 ล้านหุ้น หรือ 2.6% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด จะขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันรายอื่นหลายราย ภายใต้เงื่อนไขและข้อตกลงเดียวกัน ทั้งนี้ JC&C ไม่ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์แต่ประการใด
โดยจุดประสงค์กลุ่ม JC&C เพื่อขยายการลงทุนเข้ามาประเทศไทย เพราะ JC&C เป็นบริษัทชั้นนำในประเทศสิงคโปร์ และเป็นสมาชิกของกลุ่ม Jardine Matheson โดยมูลค่าตลาดที่ JC&C ซื้อ SCCC 57 ล้านหุ้น ประมาณ 615.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับมูลค่าตลาดของกลุ่ม JC&C เท่ากับ 10,701.7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 5.8% ปัจจุบัน กลุ่ม JC&C มีเงินลงทุนในประเทศอาเซียน คือ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม และพม่า มีธุรกิจหลากหลาย เช่น รถยนต์ บริการทางการเงิน เครื่องจักรอุปกรณ์เกี่ยวกับการทำเหมือง ธุรกิจการเกษตร โครงสร้างพื้นฐาน ลอจิสติกส์ เทคโนโลยีสารสนเทศโทรคมนาคม และต้องการที่จะขยายการลงทุนเข้ามาในประเทศไทย
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของผู้ถือหุ้นจะไม่มีผลต่อ SCCC มากนัก เพราะกลุ่มรัตนรักษ์ ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 45.37% ขณะที่ปรับประมาณการลดลง แต่คาดกำไรปี 2558 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ความต้องการปูนซีเมนต์ในไตรมาสแรกปี 58 มีแนวโน้มจะติดลบประมาณ 2-3% และเมย์แบงก์กิมเอ็งฯ ประเมินความต้องการปูนซีเมนต์ในปี 2558 จะเติบโตเพียง 3% จากคาดการณ์เดิมจะเติบโต 6-7%
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของ SCCC ในปีนี้คาดจะยังทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากราคาขายปูนซีเมนต์ไม่ได้ปรับลดลงมากนัก เทียบกับต้นทุนในด้านพลังงานที่ปรับลดลง ประเมินกำไรเท่ากับ 5,514 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% คาดในปี 2559 จะเติบโตที่เด่นชัดมากขึ้น โดยความต้องการปูนซีเมนต์คาดจะเติบโต 5-10% หลังจากโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการมีการประมูลในไตรมาส 2-4 ปีนี้ จะมีการก่อสร้างในปี 2559
ดังนั้น จึงปรับลดราคาเป้าหมายลงเหลือ 450 บาท แต่เพิ่มเกรดเป็น “ซื้อ” จากประมาณการที่ปรับลดลงเมย์แบงก์กิมเอ็งฯ ประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 2558 เท่ากับ 450 บาท บนฐานค่าเฉลี่ย P/E+1SD เท่ากับ 18-19 เท่า ลดลงจากเดิม 475 บาท เพิ่มเกรดเป็น “ซื้อ” จาก TRADING BUY
บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC หลังจาก โฮลชิม ขายหุ้น 27.5% ให้บริษัท Jardine Cycle & Carriage Limited หรือ JC&C 24.9% และนักลงทุนสถาบัน 2.6% บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า SCCC ได้แจ้งเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น คือ ทางโฮลซิม ตกลงจะขายหุ้นทั้งหมด 63 ล้านหุ้น หรือ 27.5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด แบ่งเป็น จำนวน 57 ล้านหุ้น หรือ 24.9% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดให้แก่ JC&C ในราคา 350 บาทต่อหุ้น และจำนวน 6 ล้านหุ้น หรือ 2.6% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด จะขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันรายอื่นหลายราย ภายใต้เงื่อนไขและข้อตกลงเดียวกัน ทั้งนี้ JC&C ไม่ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์แต่ประการใด
โดยจุดประสงค์กลุ่ม JC&C เพื่อขยายการลงทุนเข้ามาประเทศไทย เพราะ JC&C เป็นบริษัทชั้นนำในประเทศสิงคโปร์ และเป็นสมาชิกของกลุ่ม Jardine Matheson โดยมูลค่าตลาดที่ JC&C ซื้อ SCCC 57 ล้านหุ้น ประมาณ 615.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับมูลค่าตลาดของกลุ่ม JC&C เท่ากับ 10,701.7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 5.8% ปัจจุบัน กลุ่ม JC&C มีเงินลงทุนในประเทศอาเซียน คือ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม และพม่า มีธุรกิจหลากหลาย เช่น รถยนต์ บริการทางการเงิน เครื่องจักรอุปกรณ์เกี่ยวกับการทำเหมือง ธุรกิจการเกษตร โครงสร้างพื้นฐาน ลอจิสติกส์ เทคโนโลยีสารสนเทศโทรคมนาคม และต้องการที่จะขยายการลงทุนเข้ามาในประเทศไทย
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของผู้ถือหุ้นจะไม่มีผลต่อ SCCC มากนัก เพราะกลุ่มรัตนรักษ์ ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 45.37% ขณะที่ปรับประมาณการลดลง แต่คาดกำไรปี 2558 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ความต้องการปูนซีเมนต์ในไตรมาสแรกปี 58 มีแนวโน้มจะติดลบประมาณ 2-3% และเมย์แบงก์กิมเอ็งฯ ประเมินความต้องการปูนซีเมนต์ในปี 2558 จะเติบโตเพียง 3% จากคาดการณ์เดิมจะเติบโต 6-7%
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของ SCCC ในปีนี้คาดจะยังทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากราคาขายปูนซีเมนต์ไม่ได้ปรับลดลงมากนัก เทียบกับต้นทุนในด้านพลังงานที่ปรับลดลง ประเมินกำไรเท่ากับ 5,514 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% คาดในปี 2559 จะเติบโตที่เด่นชัดมากขึ้น โดยความต้องการปูนซีเมนต์คาดจะเติบโต 5-10% หลังจากโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการมีการประมูลในไตรมาส 2-4 ปีนี้ จะมีการก่อสร้างในปี 2559
ดังนั้น จึงปรับลดราคาเป้าหมายลงเหลือ 450 บาท แต่เพิ่มเกรดเป็น “ซื้อ” จากประมาณการที่ปรับลดลงเมย์แบงก์กิมเอ็งฯ ประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 2558 เท่ากับ 450 บาท บนฐานค่าเฉลี่ย P/E+1SD เท่ากับ 18-19 เท่า ลดลงจากเดิม 475 บาท เพิ่มเกรดเป็น “ซื้อ” จาก TRADING BUY