xs
xsm
sm
md
lg

“UAC” จับมือพันธมิตร AGE&QTC ผุดโรงไฟฟ้าชีวมวล (ชมคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายกิตติ ชีวะเกตุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ยูเอซี โกลบอล หรือ UAC
UAC ผนึกกำลังพันธมิตรกับ QTC และ AGE ลงขันเตรียมสร้างโรงไฟฟ้า 10 เมกะวัตต์ คาดได้ข้อสรุปไตรมาส 3 ปีนี้ เล็งพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าแห่งแรกที่หัวเมืองใหญ่ภาคเหนือ และอีสานจังหวัดติดประเทศเพื่อนบ้าน รับอานิสงส์เปิด AEC



นายกิตติ ชีวะเกตุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ยูเอซี โกลบอล หรือ UAC กล่าวว่า บริษัทฯ ได้มีการพูดคุยร่วมกันกับ บมจ.คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ หรือ QTC และ บมจ.บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี หรือ AGE ในการร่วมทุนทำโรงไฟฟ้าชีวมวล ขนาดกำลังการผลิตที่ 10 MW จำนวน 1 โรง ในช่วงเริ่มแรก ซึ่งได้พิจารณาเลือกที่ตั้งโรงไฟฟ้าในเขตภาคเหนือ และภาคอีสาน เนื่องจากเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่มีแนวโน้มการเติบโตในอนาคตได้ดี และมีพื้นที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา และลาว โดยอนาคตอาจเข้าไปลงทุนทำกิจการโรงไฟฟ้าในกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขงอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การร่วมทุนทำโรงไฟฟ้าของทั้ง 3 บริษัท คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ เพราะจะต้องพิจารณาดูหลักเกณฑ์ข้อกำหนดนโยบายพลังงานหมุนเวียนแบบใหม่จากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ หรือ Feed-in Tariff (FIT) โดยอาจมีการตั้งบริษัทย่อยร่วมทุนขึ้นมาในการทำโรงไฟฟ้า

“บริษัทฯ มองเห็นความสำคัญของธุรกิจพลังงานของไทย เนื่องจากว่าในปัจจุบันไทยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ประมาณ 50,000 เมกะวัตต์ เพียงเท่านั้น ซึ่งส่วนหนึ่งต้องอาศัยแหล่งเชื้อเพลิงจากประเทศเพื่อนบ้านมาใช้ผลิตไฟฟ้า โดยบริษัทมองว่าในอนาคตเมื่อเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ จะมีการเติบโตเพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้แนวโน้มประเทศไทยจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นจากการที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการคมนาคมของอาเซียน อีกทั้งการเข้าไปลงทุนทำธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวลมีแนวโน้มที่จะมีรายได้แน่นอนในระยะยาว เพราะไฟฟ้าถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีความสำคัญ และสามารถแก้ปัญหาเมื่อเกิดสถานการณ์วิกฤตราคาพลังงานผันผวนดังเช่นที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ได้”

ขณะที่ นายพนม ควรสถาพร กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอเชีย กรีน เอนเนอจี หรือ AGE กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการลดต้นทุนด้านการขนส่งถ่านหินโดยตั้งเป้าหมายปริมาณการขายถ่านหินใกล้เคียงปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 3.45 ล้านตัน ขณะที่ราคาขายถ่านหินเริ่มปรับขึ้นเล็กน้อยแม้ว่าจีน และอินเดียจะมีการใช้ถ่านหินเพิ่มขึ้น คาดปีนี้ราคาเฉลี่ยถ่านหินอยู่ที่ 65 เหรียญสหรัฐ/ตัน ทำให้ทั้งปีบริษัทฯ จะมีรายได้ประมาณ 7 พันล้านบาท สูงกว่าปีก่อนเล็กน้อย และจะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิอีกครั้งจากปี 2557 ที่ขาดทุนสุทธิ 35 ล้านบาท

“ส่วนนโยบายที่จะขยายธุรกิจสู่อุตสาหกรรมต้นน้ำและปลายน้ำ โดยอุตสาหกรรมต้นน้ำ คือ มีเหมืองถ่านหินเป็นของตนเองนั้น เนื่องจากราคาถ่านหินปรับตัวลดลงมาหลายปี ทำให้เหมืองถ่านหินปิดตัวไปหลายแห่ง ซึ่งบริษัทเห็นว่าการทำธุรกิจเทรดดิ้งถ่านหินปลอดภัยกว่า ไม่มีเหมืองก็ไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด ส่วนอุตสาหกรรมปลายน้ำคือ โรงไฟฟ้าถ่านหิน เนื่องจากรัฐมีนโยบายสนับสนุนพลังงานทดแทน บริษัทจึงหันมารุกธุรกิจไฟฟ้าชีวมวล โดยสิ้นเดือน มี.ค.นี้คาดว่า รัฐจะมีความชัดเจนในการรับซื้อไฟจากโรงไฟฟ้าชีวมวลและขยะ”

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนรุกธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวล 10 โรง โดยดำเนินการประชาพิจารณ์ไปแล้ว 3 โรง โดยโรงแรก คือ โรงไฟฟ้าชีวมวลขนาด 2 เมกะวัตต์ ที่จังหวัดสุโขทัย คาดจ่ายไฟเข้าระบบในปลายปีนี้ ส่วนอีก 2 โรง เป็นโรงไฟฟ้าชีวมวล กำลังผลิตโรงละ 9.9 เมกะวัตต์ อยู่ภาคใต้ อยู่ระหว่างรอการประกาศรับซื้อไฟจากภาครัฐ รวมทั้งยังได้ร่วมกับพันธมิตรอย่าง บมจ. ยูเอซี โกลบอล (UAC) และ บมจ.คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ (QTC) ในการรุกธุรกิจไฟฟ้าด้วย โดยบริษัทมีความชำนาญด้านการจัดหาเชื้อเพลิง สำหรับแหล่งเงินทุนนั้นบริษัทมีเพียงพอที่จะสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล 3-4 โรง เนื่องจากออกหุ้นกู้ 1 พันล้านบาท และมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานด้วย

ส่วน นายพูลพิพัฒน์ ตันธนสิน ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ หรือ QTC กล่าวว่า การเข้าร่วมมือกับพันธมัตร 2 บริษัทฯ เพื่อสร้างหลักประกันความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการพัฒนาธุรกิจร่วมกันมากกว่าการทำธุรกิจประเภทเดียว อีกทั้งบริษัทพันธมิตรทั้ง 2 ราย มีความได้เปรียบจากความเชี่ยวชาญด้านงานที่ทำอยู่ และยังมีโอกาสในการขยายกิจการเข้าไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านลุ่มน้ำโขง มีการตื่นตัวในการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน (AEC) เป็นอย่างมาก โดยเปิดโอกาสให้บริษัทจดทะเบียนจากต่างประเทศเข้าไปตั้งโรงงาน และนิคมอุตสาหกรรม ทำให้มีความต้องการใช้ไฟฟ้าเป็นปริมาณมาก และยังไม่มีเพียงพอต่อความต้องการ

“บริษัทฯ เตรียมที่จะเข้าไปลงทุนในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว พม่า กัมพูชา นอกเหนือจากการลงทุนภายในประเทศที่ทำอยู่ โดยอาจจะหาพันธมิตรในธุรกิจพลังงานประเภทต่างๆ ที่มีความหลากหลาย เพื่อรองรับความต้องการของตลาดพลังงานในอนาคต”

ขณะเดียวกัน ภาพรวมของบริษัทฯ ในปีนี้มีการเติบโตดีขึ้น บริษัทฯ มีการรับรู้รายได้จากงานในมือที่ตกค้างจากปีที่แล้วเข้ามา และมีงานด้านโซลาร์ ฟาร์ม จาก บมจ.เด็มโก้ (DEMCO) และงานของราชการบางส่วนเข้ามาด้วย ทำให้ยอดรวมรายได้ของบริษัทมีสัดส่วนในทิศทางบวกมากขึ้น อีกทั้งบริษัทได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นหม้อแปลงไฟฟ้าภายในอาคาร โดยมีการส่งออกไปขายยังประเทศญี่ปุ่น ที่มียอดสั่งซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมาก ทำให้มั่นใจว่าในปีนี้บริษัทฯ จะสามารถรักษาเป้ารายได้ทั้งปีไว้ที่ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท

“จากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นเครื่องสำรองไฟภายในอาคารออกมา ทำให้บริษัทฯ มียอดออเดอร์จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมาก ขณะที่ในส่วนของแผนการเข้าไปลงทุนในต่างประเทศนอกเหนือจากโรงไฟฟ้าแล้ว บริษัทฯ เตรียมที่จะเข้าไปตั้งโรงงานผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าในประเทศลาว ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ภายในเร็วๆ นี้”
กำลังโหลดความคิดเห็น