ผลการดำเนินงานของ บจ. mai ประจำปี 2557 มีกำไรสุทธิรวม 5,263 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 721 ล้านบาท คิดเป็น 15.87% จากปีก่อนหน้า พบกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิรวมสูงสุด 3 อันดับแรก คือ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และกลุ่มบริการ ตามลำดับ
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 110 บริษัท จาก 113 บริษัท นำส่งงบการเงิน ประจำปี 2557 พบบริษัทที่มีกำไรสุทธิ จำนวน 82 บริษัท คิดเป็น 75% ของบริษัทที่ส่งงบการเงินทั้งหมด มียอดขายรวมอยู่ที่ 120,254 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.42% จากปีก่อนหน้า แม้ว่าต้นทุนขายเพิ่มขึ้น 7.53% แต่อัตรากำไรขั้นต้นยังคงปรับเพิ่มขึ้นเป็น 21.87% ส่งผลให้กำไรสุทธิรวมเพิ่มขึ้นเป็น 5,263 ล้านบาท จากกำไรสุทธิรวมในปี 2556 ที่ 4,542 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15.87%
“ภาพรวมผลการดำเนินงานของ บจ. mai ประจำปี 2557 ยังคงเติบโตต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยเฉพาะธุรกิจพลังงานทดแทนที่เริ่มรับรู้รายได้จากการลงทุนที่ผ่านมา หากมองตามกลุ่มอุตสาหกรรมพบว่า มี 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น คือ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มธุรกิจการเงิน ตามลำดับ โดย 5 บริษัทที่มีกำไรสุทธิสูงสุดในปี 2557 ได้แก่ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) มีกำไรสุทธิ 1,608 ล้านบาท บมจ.ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ (TSE) มีกำไรสุทธิ 581 ล้านบาท บมจ.เจ. เอส. พี. พร็อพเพอร์ตี้ (JSP) มีกำไรสุทธิ 487 ล้านบาท บมจ.บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป (BROOK) มีกำไรสุทธิ 256 ล้านบาท และ บมจ.อี ฟอร์ แอล เอม (EFORL) มีกำไรสุทธิ 241 ล้านบาท” นายประพันธ์ กล่าว
ทั้งนี้ จากการสำรวจผลการดำเนินงานของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิรวมสูงสุด คือ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มบริการ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มธุรกิจการเงิน ตามลำดับ โดยมีกำไรสุทธิรวม 5,914 ล้านบาท
ปัจจุบันมี บจ.ใน mai 113 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 5 มีนาคม 2558) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 761.53 จุด เพิ่มขึ้น 8.78% จากต้นปี มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 435,932 ล้านบาท อัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) อยู่ที่ 80.73 เท่า มูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 5,803 ล้านบาทต่อวัน