บิวตี้ คอมมูนิตี้ ทำรายได้งวดสิ้นปี 57 ที่ 1,385.27 ล้านบาท เติบโตกว่า 38.93% และมีกำไร 301.16 ล้านบาท เติบโต 45.51% ขณะที่ไตรมาส 4/57 กำไรพุ่ง 112.28% แย้มข่าวดีจ่ายปันผลทั้งปีรวมเป็น 0.99 บาท คิดเป็น 99.33% เตรียมแตกพาร์เป็น 0.10 บาทต่อหุ้น
นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิว เปิดเผยถึงผลประกอบการปี 2557 ว่า บริษัทมีผลประกอบการที่โดดเด่นทั้งในแง่ของรายได้และกำไร โดยมีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,385.27 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 997.11 ล้านบาท จำนวน 388.15 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 38.93% และมีกำไรสุทธิ 301.16 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 206.97 ล้านบาท จำนวน 94.19 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 45.51% และมีอัตราการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิมที่มีอยู่ (Same Store Sale Growth) เป็นบวกถึง 26.80%
ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2557 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 426.68 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 269.06 ล้านบาท จำนวน 157.62 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 58.58% และมีกำไรสุทธิ 104.74 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 49.34 ล้านบาท จำนวน 55.40 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 112.28%
โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลประกอบการของ BEAUTY เติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ BEAUTY BUFFET และ BEAUTY COTTAGE และ BEAUTY MARKET ได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้ามากขึ้น ส่งผลให้ยอดจำหน่ายปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม รวมทั้งมีการขยายสาขาครอบคลุมกลุ่มลูกค้ากว่า 295 สาขาทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี อีกทั้งช่วงก่อนหน้าบริษัทได้จัดกิจกรรมด้าน CRM กับลูกค้าสมาชิกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดขายต่อบิลและอัตราการกลับมาซื้อของลูกค้าสมาชิกเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งยังมีปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติมที่ทำให้ยอดขายปรับตัวเพิ่มขึ้นคือ สินค้าของ BEAUTY ได้รับความสนใจและยอมรับจากลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างประเทศอย่างมาก เช่น จีน ฮ่องกง และตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติจ่ายปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 99.33% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีและสำรองตามกฎหมาย จากนโยบายปันผลไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีและสำรองตามกฎหมาย หรือ คิดเป็นเงินปันผลที่จะจ่ายเพิ่มในอัตราหุ้นละ 0.64 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 192 ล้านบาท จากที่ได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 0.35 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 105 ล้านบาท ส่งผลทำให้ในปี 2557 บริษัทจ่ายเงินปันผลรวมทั้งสิ้น 0.99 บาทต่อหุ้น คิดเป็นจำนวนเงิน 297 ล้านบาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 7 พฤษภาคม 2558 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 (เข้าขออนุมัติจากประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 24 เมษายน 2558)
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงจำนวน และมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par Value) ของบริษัทจากเดิมราคาพาร์ 1 บาท/หุ้น เป็นราคาพาร์ 0.10 บาท/หุ้น ซึ่งจะส่งผลให้จำนวนหุ้นสามัญเพิ่มขึ้นจากเดิม 300 ล้านหุ้น เป็นจำนวน 3,000 ล้านหุ้น (เข้าขออนุมัติจากประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 24 เมษายน 2558)
“การเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้จาก 1 บาท เป็น 0.10 บาท เนื่องจากบริษัทต้องการให้หุ้นมีสภาพคล่องสูงขึ้นจากจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นและราคาหุ้นที่ลดลง เพื่อดึงดูดนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัท และช่วยเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขาย โดยไม่มีผลกระทบในแง่ Price Dilution และ Control Dilution รวมถึงไม่ทำให้มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นเปลี่ยนไป คณะกรรมการบริษัทมีมติเปลี่ยนแปลงราคาพาร์จาก 1 บาทต่อหุ้น เป็น 0.10 บาทต่อหุ้น” นายแพทย์สุวิน กล่าว