บล.ทรีนีตี้ ปรับลดเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยระยะสั้นในเดือนกุมภาพันธ์นี้สู่ระดับ 1,600 จุด จาก 1,640 จุด เหตุสมมติฐานการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งการเลื่อนเวลาขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ที่เร็วขึ้น ฐานะการเงินของกรีซที่ยังคงกดดัน การรีบาวนด์ราคาน้ำมันยังไม่ใช่ของจริง พร้อมแนะชะลอการลงทุน และรอเพิ่มพอร์ตโฟลิโอในช่วงที่ดัชนีอ่อนตัวลงมาบริเวณแนวรับ 1,540-1,560 จุด โฟกัสหุ้น Top pick ได้แก่ BCP, IFEC, VGI, CSS, BJCHI, BTS, TMB, AAV, WHA, THAI, TRUE, ROBINS, IVL, SGP, KKP, STA, CPF, CCP, MONO, FOCUS
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ทรีนีตี้ ได้ปรับลดเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยระยะสั้นในเดือนกุมภาพันธ์นี้สู่ระดับ 1,600 จุด จาก 1,640 จุด และแนะนำให้ใช้ความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น โดยทยอยลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นในช่วงดัชนี SET Index บริเวณ 1,600 จุดขึ้นไป เนื่องจากมองสมมติฐานการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งน่าจะทำให้ SET Index หมดปัจจัยกระตุ้นและคาดจะพักฐานได้ในระยะอันสั้น ได้แก่ การเลื่อนคาดการณ์ช่วงเวลาการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ที่เร็วขึ้นของนักลงทุนในตลาด หลังจากตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ล่าสุดออกมาดีมาก พร้อมกับคาดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (Bond yield) ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น จะส่งผลให้ SET Index มีความน่าสนใจลดลงผ่านระดับ Earning yield gap ที่ลดลง
“ปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับฐานะการเงินของกรีซที่ยังคงกดดันภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลก โดยคาดการเจรจาระหว่างรัฐบาลกรีซกับ Troika มีแนวโน้มไร้ข้อสรุปในระยะสั้น ทำให้มีความเสี่ยงที่กรีซอาจถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือจากสถาบันจัดอันดับเครดิต Moody’s ในช่วง 1 เดือนข้างหน้านี้ นอกจากนั้น มองการปรับตัวขึ้น (Rebound) ของราคาน้ำมันเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว และไม่ยั่งยืน และยังมองความชันของเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield curve) พันธบัตรรัฐบาลหลายๆ ประเทศทั่วโลกอยู่ในภาวะลดลง (Flattening) เป็นการบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจอยู่ในช่วงชะลอตัว และขาดการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทั้งนโยบายการเงินและการคลัง”
นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศจากภาคการส่งออกของไทยมีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และนักวิเคราะห์ยังคงมีการปรับลดประมาณการ SET Index อย่างต่อเนื่อง
สำหรับระดับการพักฐานของดัชนี SET Index คาดจะอยู่ที่บริเวณ 1,540-1,560 จุด และในกรณีเลวร้ายสุดบริเวณ 1,500 จุด อย่างไรก็ดี หากดัชนีมีการปรับตัวลงมาบริเวณดังกล่าว มองเป็นจุดที่น่าสนใจในการเข้าลงทุนอีกครั้ง เนื่องจากคาดการณ์ตลาดยังมีปัจจัยบวกรออยู่ในช่วงเดือนมีนาคม จากมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งคาดว่าจะทำให้มีกระแสเงินทุนต่างชาติบางส่วนไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยได้ผ่านปรากฏการณ์ EUR carry trade และดัชนี SET Index จะมีการปรับตัวขึ้นได้ผ่านปรากฏการณ์ PE expansion หากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในวันที่ 11 มีนาคมนี้
สรุปกลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้ใช้ความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น โดยทยอยขายหุ้นและลดน้ำหนักพอร์ตโฟลิโอ ณ SET Index บริเวณเหนือ 1,600 จุดขึ้นไป เนื่องจากมองว่าเป็นระดับที่เปราะบางทั้งในแง่ของมูลค่าตลาด (Valuation) และประเด็นความเสี่ยงแวดล้อมภายนอก แนะนำชะลอการลงทุน และรอเพิ่มพอร์ตโฟลิโอในช่วงที่ดัชนีอ่อนตัวลงมาบริเวณแนวรับ 1,540-1,560 จุด โดยให้โฟกัสหุ้น Top pick ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่มี Low beta และ High alpha ได้แก่ BCP, IFEC, VGI, CSS, BJCHI, BTS, TMB, AAV, WHA, THAI, TRUE, ROBINS, IVL, SGP, KKP, STA, CPF, CCP, MONO, FOCUS