xs
xsm
sm
md
lg

รัฐบาลไล่บี้หน่วยงานเร่งเบิกจ่ายงบปี 58 เผยเก็บแวต ม.ค. ทำสถิติสูงสุด 4 หมื่นล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


รัฐบาลเร่งเบิกจ่ายงบปี 58 เชื่อไตรมาส 2 ปีก่อหนี้ได้ร้อยละ 80-100 พร้อมให้ความมั่นใจว่า ตลอดทั้งปี 58 จะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ร้อยละ 96 งบลงทุนร้อยละ 87 ของงบประมาณในภาพรวม 2.575 ล้านล้านบาท ด้านคุณชายอุ๋ย เป็นปลื้ม เดือน ม.ค.เก็บแวตได้ 40,100 ล้านบาท ทุบสถิติสูงสุด ลั่นถือเป็นการส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจประเทศเริ่มกระเตื้องขึ้น

นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง แถลงข่าวภายหลังเรียกประชุม 20 หน่วยงานราชการที่ยังมีการเบิกจ่ายงบประมาณค่อนข้างน้อย กลุ่มที่มีงบประมาณตั้งแต่ 300-1,000 ล้านบาท เพื่อติดตามการเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี 2558 โดยระบุว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2558 ภายในเดือนนี้ (ก.พ.) โดยกรมบัญชีกลาง จะรายงานผลการประชุมหน่วยงานราชการที่มีการเบิกงบประมาณค่อนข้างน้อยทั้ง 2 ครั้งด้วย

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการเบิกจ่ายงบกระมาณปี 2558 นับว่าอยู่ในระดับที่ดีกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา เพราะกรมบัญชีกลาง ได้กำหนดเป้าหมายในการเบิกจ่ายงบประมาณเอาไว้แล้ว ซึ่งตนในฐานะอธิบดีกรมบัญชีกลาง และรองอธิบดีได้ออกไปทำงานโดยออกไปเยี่ยมแต่ละหน่วยงานว่า มีปัญหาติดขัดในการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างไรบ้าง รวมถึงโทรศัพท์ให้คำปรึกษา

ซึ่งจากการสอบถามหน่วยงานต่างๆ พบว่า ในด้านการก่อหนี้ หน่วยงานเหล่านี้ส่วนใหญ่ระบุว่า ในช่วงสิ้นไตรมาสที่ 2 หรือสิ้นเดือนมีนาคม 2558 จะสามารถสามารถก่อหนี้ หรือมีการลงนามในสัญญาได้เฉลี่ยประมาณร้อยละ 80-100 และส่วนงบลงทุนคาดว่าจะเบิกจ่ายได้ร้อยละ 30

ขณะที่ส่วนภาพรวมการเบิกจ่ายงบประมาณตลอดปีงบประมาณ 2558 มั่นใจว่า จะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ร้อยละ 96 งบลงทุนร้อยละ 87 ของงบประมาณในภาพรวม 2.575 ล้านล้านบาท

สำหรับการเรียกประชุมหน่วยงานที่เบิกจ่ายงบประมาณค่อนข้างน้อย ทั้ง 2 ครั้ง ครั้งแรก กรมบัญชีกลาง เรียกประชุมเมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่มีงบประมาณเกิน 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนการเรียกประชุมหน่วยงานราชการในวันนี้ (6 ก.พ.) เป็นกลุ่มที่มีงบตั้งแต่ 300-1,000 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้มี 2 หน่วยงาน ที่มีงบ 1,000 ล้านบาท

อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติอยู่แล้วให้ส่วนราชการต่างๆ ก่อหนี้ให้ได้ภายในเดือนมีนาคมนี้ หากไม่มีความพร้อมการตั้งงบประมาณในปี 2559 จะได้รับการพิจารณาจัดสรรให้ลดน้อยลง

ส่วนกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2557 ให้หน่วยงานราชการต่างๆ ไปต่อรองราคากลางงานที่เอกชนประมูลไปแล้วให้ปรับราคาลงนั้น เรื่องนี้แต่ละหน่วยงานอยู่ระหว่างดำเนินการ

แต่ถ้าหากหน่วยงานใดไม่สามารถต่อรองราคาจากผู้ประมูล ก็มีทางออกโดยสามารถไปยื่นขอยกเว้นจากคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งรายละเอียดจะต้องสอบถามจากสำนักงานงบประมาณเพราะการก่อสร้างใด ค่าใช้จ่ายนำมันเชื้อเพลิงเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกด้วย

ด้าน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตัวเลขการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) เดือน ม.ค.2558 อยู่ที่ 40,100 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดในประวัติศาสตร์ คิดเป็นยอดใช้จ่ายที่เดือนละ 580,000 ล้านบาท ซึ่งในอดีตเคยเก็บแวตได้สูงสุดในเดือน ม.ค.เช่นกัน อยู่ที่ 36,000 ล้านบาท ส่วนเดือน ก.พ.-มี.ค.2558 คาดว่าจะเก็บแวตได้เดือนละ 38,000-39,000 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้เศรษฐกิจเดินต่อได้ โดยคาดว่าแต่ละเดือนจะมียอดการใช้จ่ายเดือนละ 550,000 ล้านบาท หรือทั้งปีอยู่ที่ 6.7-6.8 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงมาก

“ตัวเลขการเก็บแวตได้สูงเป็นประวัติศาสตร์ เป็นข่าวดีที่แสดงให้เห็นว่าทุกอย่างกระเตื้องขึ้น เวลาดูเศรษฐกิจว่ากระเตื้อง หรือฟื้นตัวแล้ว ตัวสำคัญที่สุดคือ การใช้จ่ายภาคเอกชน เพราะเกิดจากคนที่มีเงินในกระเป๋าแล้วนำเงินมาใช้ ตัวอื่นแค่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจชั่วคราว เช่น การลงทุนภาครัฐ การที่คนใช้จ่ายมากขนาดนี้เป็นตัวบอกว่าเขามีเงินใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งเกิดจากมีจำนวนโรงงานเปิดมากขึ้น จ้างคนได้เพิ่มขึ้น 99,000 คน ราคาน้ำมันลดลง และเงินกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนา และชาวสวนยางไร่ละ 1,000 บาท” ม.ร.ว.ปรียาธร กล่าว

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า หลังจากรัฐบาลชุดนี้เข้ามาได้ออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4) ให้โรงงานในเดือน มิ.ย.2557-ม.ค.2558 จำนวน 4,200 แห่ง โดย 7 เดือนที่ผ่านมา มีโรงงานเปิดกิจการใหม่ 2,041 แห่ง มีการจ้างงานเพิ่ม 99,000 คน ที่เหลืออีกประมาณ 2,200 แห่ง จะต้องเปิดภายใน 4-5 เดือนนี้อย่างแน่นอน เพราะมีกฎให้เปิดโรงงานภายใน 180 วัน หลังได้ใบอนุญาต รง.4

หากโรงงานอีก 2,200 แห่งเปิดดำเนินการ จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นอีก 62,000 คน และหากรวม 4,200 โรงงาน จะมีเม็ดเงินลงทุน 450,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่า ในส่วนของการลงทุนภาคเอกชนขยับแล้วอย่างแท้จริง
กำลังโหลดความคิดเห็น