“วาย แอล จี” มองมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของ ECB ที่ออกมาเกินคาด ดันเม็ดเงินบางส่วนทะลักเข้าทอง แต่การอ่อนค่าของยูโรกดดันให้ขยับได้ไม่มากนัก เตือนเริ่มเข้าใกล้โซนอันตรายระวังแรงเทขาย ส่วนช่วงนี้ต้องจับตาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะการประชุมFOMC และตัวเลข GDP ไตรมาสสุดท้ายปีก่อน หากออกมาดีอาจสร้างแรงเทขายฉุดราคาปรับตัวลง
“วรุต รุ่งขำ” ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ วายแอลจี บูเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส กล่าวถึงทิศทางราคาทองคำว่า ราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมาถือว่าเป็นอีกหนึ่งสัปดาห์ที่เคลื่อนไหวผันผวน แต่ราคาทองคำก็สามารถปรับขึ้นมายืนเหนือแดนบวกได้ จากการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีการประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE) สูงกว่าที่ตลาดเคยคาดการณ์ไว้ แต่การปรับขึ้นของราคาทองคำยังไปได้ไม่ไกลมากนัก เพราะการประกาศอัดฉีด QE ของธนาคารกลางยุโรป กดดันให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่า และแตะระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี ขณะที่วงเงินในมาตรการ QE ที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าตลาดคาดการณ์ถึง 660,000 ล้านยูโรต่อเดือน เป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า วงเงินที่มากขึ้นนี้จะส่งผลให้มีเม็ดเงินบางส่วนไหลเข้าสู่ทองคำมากขึ้น ซึ่งประเด็นดังกล่าวเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นได้ในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับภาพรวมการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในสัปดาห์นี้ ยังประเมินว่าน่าจะมีแรงซื้อเข้ามาสนับสนุนทองคำได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ทองคำยังรักษาฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยได้ต่อไป แต่การย่อลงมาต่ำกว่า 20-25 เหรียญ/ออนซ์ ทำให้ราคาทองคำยังรักษามุมแนวรับเชิงบวกไว้ได้ ดังนั้น หากราคามีการย่อตัวลงมา จึงประเมินแนวรับไว้ที่ 1,180-1,160 เหรียญ/ออนซ์ เป็นจุดที่นักลงทุนสามารถเข้าไปสะสมเพิ่ม แต่เมื่อราคาทองคำขยับขึ้นที่ต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้การเคลื่อนไหวอยู่ในลักษณะ Over Bought หรือทรงตัวในระดับสูงที่อาจเผชิญแรงขายทำกำไร ดังนั้น เมื่อราคาขยับขึ้นเกิน 1,320-1,350 เหรียญ/ออนซ์ ยังแนะนำทยอยนำทองคำออกขายเพื่อลดความเสี่ยงจากแรงขายทำกำไร
ส่วนปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตาม มองไปที่ตัวเลขเศรษฐกิจในฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งหากตัวเลขเศรษฐกิจในฝั่งสหรัฐฯ ยังคงมีแนวโน้มที่สดใสต่อเนื่อง ปัจจัยดังกล่าวจะกดดันให้เกิดแรงขายทำกำไรในทองคำเพิ่มมากขึ้น ซึ่งตัวเลขที่ต้องติดตามคือความเชื่อมั่นผู้บริโภค และยอดขายบ้านใหม่ รวมถึงการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) รวมไปถึงการเปิดเผยจำนวนผู้รับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ และการเปิดเผยตัวเลข GDP ประจำไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา ซึ่งสามารถใช้ตัวเลขดังกล่าวประกอบการตัดสินใจลงทุนได้ในแต่ละวัน