NDR เตรียมเปิดจองซื้อ IPO จำนวน 65 ล้านหุ้น วันที่ 7-9 ม.ค.58 เล็งเข้าเทรดในตลาด mai กลางเดือน ม.ค.58 ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ใกล้เคียง 853 ล้านบาท
นายชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NDR เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะแต่งตั้งผู้รับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชน (IPO) ในวันที่ 6 ม.ค.58 และจะเปิดจองซื้อหุ้น IPO ทั้งหมด 65 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็นร้อยละ 30.23 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออก และเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทในช่วงวันที่ 7-9 ม.ค.58 จากนั้นน่าจะนำหุ้นดังกล่าวเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ช่วงกลางเดือน ม.ค.58
โดยบริษัทมีวัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้จะนำไปใช้ชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงินที่ได้กู้ยืมมาเพื่อขยายกิจการในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จำนวน 300 ล้านบาท และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ โดยการชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงินจะทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลง และมีเงินสดในมือมากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมีภาระจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ปีละ 7 ล้านบาท จึงคาดหวังว่าหลังระดมทุนอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) จะลดลงเหลือราว 1 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 2 เท่า
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปี 59 ไปที่ 1 พันล้านบาท จากผลของการขยายฐานลูกค้าทั้งใน และต่างประเทศไปพร้อมกัน เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงในภาวะที่เศรษฐกิจในหรือต่างประเทศประสบปัญหา
อย่างไรก็ตาม ในปี 58 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ใกล้เคียง 853 ล้านบาท ซึ่งในปีหน้าจะมีลูกค้าจากอินเดียที่สั่งซื้อยางรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาเพิ่ม และจะทำให้สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศขยับเพิ่มขึ้นเป็น 60% จากปัจจุบันอยู่ที่ 50% ประกอบกับบริษัทได้รับคำสั่งซื้อยางรถมอเตอร์ไซค์ของลูกค้ารายใหม่ประเทศ คือ ค่ายซูซูกิ ที่จะสามารถช่วยผลักยอดขายในได้ระดับหนึ่ง
โดยปีหน้าบริษัทได้เตรียมขยายกำลังการผลิตยางนอกเพิ่มเป็น 3.5 ล้านเส้นต่อปี จากตอนนี้ที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2.4 ล้านเส้นต่อปี เพื่อรองรับออเดอร์จากลูกค้าที่อินเดีย ส่วนกำลังการผลิตยางในยังเท่าเดิมที่ 7 ล้านเส้นต่อปี การที่เราขยายกำลังการผลิตเพื่อทำให้มั่นใจว่าสินค้าที่ผลิตออกมาจะเป็นไปตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งหากผลิตแล้วไม่พอก็อาจจะเป็นความเสี่ยงในการเสียลูกค้าได้
ทั้งนี้ บริษัทจะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในปี 59 เป็น 15% จากปัจจุบันอยู่ที่ 8% ซึ่งในปีหน้าคาดว่าจะขยับเพิ่มขึ้นเป็น 10% โดยบริษัทจะมุ่งเน้นการรักษาคุณภาพของสินค้า และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้ตรงตามความต้องการของตลาด เพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า ประกอบกับพัฒนาสินค้าให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ในระยะยาว และสามารถนำเป็นจุดขายในการแข่งขันกับคู่แข่งทางด้านราคาในตลาด และด้านความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นกระบวนการผลิตที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม