xs
xsm
sm
md
lg

แบงก์กรุงศรีฯ ยันตรวจประวัติ “ทรงกลด” ก่อนรับทำงาน คตง.หวั่นยักยอก 1.6 พัน ล. จุดชนวนวิกฤตศรัทธาระบบธนาคาร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ธ.กรุงศรีอยุธยา ยืนยันแบงก์มีการตรวจสอบประวัติ “ทรงกลด ศรีประสงค์” อดีตผู้จัดการสาขาฯ ไม่พบประวัติอาชญากรรม ก่อนรับเป็นพนักงาน ด้านบอร์ด คตง. สั่งเร่งตรวจสอบเบื่องลึกยักยอก 1.6 พันล้าน เทคโนฯ ลาดกระบัง ลั่นเดินหน้าเอาผิดเพิ่มหลายกระทง พร้อมขยายผลไปยังแบงก์อื่นด้วย ยอมรับเป็นกรณีการยักยอกที่สูงมาก และเป็นที่จับตาของประชาชน ย้ำต้องไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้ชี้แจงคดีที่ นายทรงกลด ศรีประสงค์ อดีตผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาห้างบิ๊กซี ศรีนครินทร์ ตกเป็น 1 ใน 2 ผู้ต้องหาคดียักยอกเงินสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) มูลค่า 1,600 ล้านบาท นั้น ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ขอชี้แจงว่า นโยบายและกระบวนการสรรหาและว่าจ้างบุคลากรของธนาคารกำหนดให้มีการตรวจสอบประวัติกับสถานที่ทำงานเดิม รวมถึงประวัติอาชญากรรมกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ซึ่งในกรณีของอดีตพนักงานดังกล่าวการตรวจไม่พบมีประวัติเสียหาย หรือความผิดปกติอันใด

นอกจากนี้ ธนาคารยังได้กำหนดระยะเวลาทดลองงานไม่น้อยกว่า 90 วัน ก่อนที่จะบรรจุเป็นพนักงานประจำ ซึ่งเป็นมาตรฐานการจ้างงานของทุกองค์กร รวมถึงอุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์

ทั้งนี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ขอยืนยันว่า การทำธุรกรรมการเงินของธนาคารมีการรายงานตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มาโดยตลอด

ด้านนายสุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) สั่งให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เร่งสรุปรายละเอียดผลการยักยอกเงิน 1,600 ล้านบาท สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งผู้บริหารลาดกระบัง และเจ้าหน้าที่ รวมถึงธนาคารที่เบิกจ่ายเงินอาจขยายผลไปยังธนาคารอื่นนอกจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เพราะถือเป็นกรณีการยักยอกเงินสูงมาก และเป็นที่จับตาของประชาชน โดยพร้อมให้ความร่วมมือต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสรุปสำนวน เพื่อเอาผิดต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง

นายสุทธิพล กล่าวว่า ต้องกลับไปตรวจสอบข้อมูลหลักฐานทั้งหมดตั้งแต่ปี 2555 แม้จะเป็นเอกสารหลักฐานที่เคยรับรองว่าถูกต้องแล้ว เนื่องจากมีการปลอมแปลงเป็นเอกสารจริงจากทางแบงก์ เพื่อปูพรมตรวจสอบใหม่ทั้งหมดว่ามีบุคคลใดเกี่ยวข้องด้วย การทุจริตดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินคดีความผิดทางอาญา

สำหรับในส่วนของ สตง.นั้น จะมีการเอาผิดทางงบประมาณวินัยการเงินการคลัง โดยทาง สตง. จะสรุปสำนวนเอาผิดเสนอต่อคณะกรรมการวินัยการเงินการคลัง เพื่อพิจารณาบทลงโทษ เช่น หักเงินเดือนผู้กระทำความผิดเป็นเวลา 1 ปี และหาทางนำเงินชดใช้คืนบางส่วน นอกจากนี้ พร้อมเสนอสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพื่อแก้ไขกฎหมายป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาลักษณะนี้อีก
กำลังโหลดความคิดเห็น