ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดตลาดช่วงเช้าปรับตัวลงถึง 44.74 จุดที่ 1,470.21 จุด เปลี่ยนแปลง -2.95% มูลค่าการซื้อขาย 42,263.05 ล้านบาท โดยระหว่างเทรดแตะจุดสูงสุดที่ 1,494.10 จุด และต่ำสุดที่ 1,465.34 จุด
นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ดัชนีหลุดแนวรับ 1,500 จุด เพราะนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น แต่ภาพรวมยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นโลก ปัจจัยกดดันยังคงมาจากเรื่องราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังปรับลงมาก ซึ่งราคาน้ำมันดิบที่ปรับลงจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มปิโตรเลียม ทำให้ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการลง คาดว่ากำไรน่าจะหายไปราว 3-4 หมื่นล้านบาท
“เพราะบ้านเราตอนนี้เศรษฐกิจไม่ได้น่ากลัว ถ้าจะเลือกลงทุนให้เลือกหุ้นได้ประโยชน์จากน้ำมันปรับลง หุ้นที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจในประเทศซึ่งเศรษฐกิจในประเทศอาจจะยังไม่ค่อยดี หุ้นก็อาจจะจำกัด” นางภรณี กล่าว
ฝ่ายวิจัยได้ปรับลดคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนลงอีก เพราะคาดว่าราคาน้ำมันดิบโลกที่ลดลงอย่างรวดเร็วเป็นปัจจัยที่กดดันความสามารถในการทำกำไรของบริษัทและผลิตสำรวจปิโตรเลียม ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด เช่น ในตลาดหุ้นไทย เชื่อว่ามีโอกาสปรับลด EPS ตลาดปี 2558 ลงจากเดิม 2-3% ถือปัจจัยกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก และกดดันนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิออกมาต่อเนื่องถึง 4 วันหลังสุด รวมถึงในประเทศไทยที่ถูกขายสุทธิติดต่อกัน 3 วัน เฉลี่ยถึงกว่าวันละ 3.2 พันล้านบาท และยังเชื่อว่าในระยะสั้นนักลงทุนกลุ่มนี้จะยังคงขายสุทธิเพื่อลดความเสี่ยงในตลาดหุ้นก่อนหยุดยาวช่วงสิ้นปี
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนสามารถเลือกหุ้นได้ประโยชน้ำมันขาลง/Window Dressing คือ กลุ่มขนส่งทางอากาศ (AAV, NOK, THAI) ที่นักวิเคราะห์ ASP เพิ่งประมาณกำไรปี 2558 ขึ้นจากเดิมราว 2.352 พันล้านบาท และกลุ่มเดินเรือคอนเทนเนอร์ (RCL) เนื่องจากต้นทุนน้ำมันที่ลดลง นอกจากนี้ ในช่วงเวลาสิ้นปีเข้าสู่ High Season ของฤดูกาลท่องเที่ยว ส่งผลดีต่อหุ้นธุรกิจอาหาร-โรงแรม (MINT, ERW, CENTEL) รวมทั้งสนามบิน (AOT) โดยเฉพาะ ERW ที่เป็นหุ้น Turnaround พลิกกลับมาเป็นกำไรได้ในงวด 4Q57
44.74จุด