xs
xsm
sm
md
lg

โบรกฯ สบจังหวะขายทิ้งกว่า 2 พันล้าน ไทยกร่อยเงินเข้าญี่ปุ่น-จีน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โบรกเกอร์อาศัยจังหวะ Valuation ของตลาดอยู่ในระดับที่แพงมากเกินไปปรับพอร์ต 2 วันทำการ ขายกว่า 2 พันล้านบาท ด้าน “ก้องเกียรติ” ไม่คาดหวังฟันด์โฟล์ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในปีหน้า เหตุเศรษฐกิจไทยโตช้ากว่าคาด ขณะเม็ดเงินจะมุ่งไหลเข้าตลาดหุ้นจีน ญี่ปุ่น ยุโรป หลังราคาหุ้นยังถูก ตามสัญญาณเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้น

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันที่ 9 ธันวาคม 2557 ปิดที่ 1,559.56 จุด ลดลง 15.99 จุด เปลี่ยนแปลง -1.01% มูลค่าการซื้อขาย 55,408.40 จุด โดยระหว่างเทรดแตะจุดสูงสุดที่ 1,576.11 จุด และต่ำสุด 1,556.50 จุด โดยสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 1,189.72 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 3,593.01 ล้านบาท ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 อีก 1,238.96 ล้านบาท โดยวันที่ 8 ธ.ค. บริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิไปแล้ว 1,417.59 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 3,543.78 ล้านบาท

ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส เตือนนักลงทุนระวังแรงขายจากนักลงทุนบริษัทหลักทรัพย์จะสร้างความผันผวนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงสุดท้ายได้อย่างต่อเนื่อง เพราะ Valuation ของตลาดอยู่ในระดับที่แพงมากเกินไป ดังนั้น แรงขายทำกำไรอาจยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแรงขายจากบัญชีซื้อขายเพื่อบริษัทหลักทรัพย์ เพราะโดยธรรมชาติของนักลงทุนกลุ่มนี้มักจะเน้นการ Trading เป็นหลัก และด้วยพฤติกรรมดังกล่าวมักจะทำให้ยอดคงค้างที่เป็น Net Buy/Sell ในแต่ล่ะปีอยู่ในระดับที่ต่ำมากๆ โดยจุดสูงสุดที่เคยเห็นจะอยู่ที่ระดับ 7.7 พันล้านบาท เมื่อสิ้นปี 2555

“ส่วนในปีนี้ ณ ปัจจุบันพบว่า มียอดซื้อสุทธิยังอยู่สูงถึง 1.48 หมื่นล้านบาท ซึ่งปริมาณที่สูงระดับนี้ย่อมทำให้มีโอกาสที่บัญชีซื้อขายเพื่อบริษัทหลักทรัพย์จะยังคงขายเพิ่มเติมออกมาได้อีก และอาจเป็นตัวแปรที่กดดันตลาดจนไปถึงสิ้นปีได้” นักวิเคราะห์ กล่าว

ฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวดัชนียังคงถูกกดดันโดยหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นเครือ PTT สะท้อนการปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องของราคาน้ำมันซึ่งอ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบ 5 ปี อย่างไรก็ตาม แรงกดดันข้างต้นถูกชดเชยด้วยแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นใหญ่ในกลุ่ม Bank และ ICT ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยยังมองตลาดจะไม่ปรับตัวลงลึกมากจากข่าวดีที่รออยู่ ได้แก่ 1) การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นของขวัญปีใหม่ 9 ธ.ค. 2) รายละเอียดการปล่อยกู้ให้แก่ธนาคารพาณิชย์ในยุโรป ในวันที่ 11 ธ.ค.57 3) การคาดการณ์ กนง.ปรับลดดอกเบียนโยบายวันที่ 17 ธ.ค.

ดังนั้น คาดว่าเปิดตลาดอีกครั้งในวันที่ 11 ธ.ค.นั้น ดัชนีน่าจะมีเทคนิเคิลรีบาวนด์จากการที่ปรับตัวลงมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ ประกอบกับความชัดเจนในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลจะทำให้มีแรงเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างมากขึ้น แนะนำอาศัยช่วงดัชนีอ่อนตัวทยอยสะสมหุ้นใหญ่ เพื่อลุ้นดัชนีปรับขึ้นเหนือ 1,600 จุดอีกครั้ง เน้นหุ้นเศรษฐกิจในประเทศ เช่น ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ รวมถึงหุ้น Big Cap ที่เป็นเป้าหมายกองทุนสถาบัน และหุ้นรับผลดีจากน้ำมันลง ขณะที่การเก็งกำไรในวันลุ้นดัชนีฟื้นตัว เน้นหุ้นพื้นฐานที่ปรับถอยแรง

น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยง ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลิป กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยระยะนี้ยังคงได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์เศรษฐกิจในต่างประเทศ คือยุโรป และจีน รวมถึงปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง กดดันให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดต่างประเทศ อีกทั้งภาพรวมตลาดยังคงเปราะบางจากการมีวันหยุดต่อเนื่อง

“คาดว่าภาพรวมดัชนีจะเคลื่อนใหวแกว่งตัวอยู่ในแนวลบตลอดทั้งสัปดาห์ โดยแนวรับจะอยู่ที่ 1,540 จุด และแนวต้านที่ 1,570 จุด แต่ทั้งนี้คาดว่าจะยังคงมีปัจจัยบวกต่อตลาดที่ทำให้ SET ปรับตัวบวกขึ้นได้จากการเข้าซื้อหุ้นขนาดใหญ่ของกองทุนต่างๆ ในช่วงปลายปี” น.ส.ธีรดา กล่าว

น.ส.ธีรดา แนะนำให้นักลงทุนควรปรับพอร์ตการลงทุนระหว่างที่ดัชนีฯ ผันผวน โดยเลือกลงทุนในกองทุน LTF หรือ RMF เพื่อลดความเสี่ยง ส่วนนักเก็งกำไรควรเลือกเก็งกำไรเป็นรายหลักทรัพย์ สำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว เน้นทยอยสะสมหุ้นที่มีปันผลสูงเมื่อตลาดย่อตัวลง โดยเฉพาะหุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากนโยบายโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลในปีหน้า ได้แก่ หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง กลุ่มส่งออกที่อิงกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท หุ้นกลุ่มธนาคาร หุ้นกลุ่มพลังงาน ได้แก่ ปตท.ที่ยังคงได้สิทธิในส่วนแบ่งการตลาด NGV ค่อนข้างสูง และกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ที่ปรับตัวสูงขึ้นจากยอดส่งออกไปยังต่างประเทศ

ขณะที่น ายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส กล่าวถึงกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายในปี 2558 ว่า จะยังมีสภาพคล่องหมุนเวียนในตลาดสูง จากนโยบายอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจอย่างญี่ปุ่น และยุโรป ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้เม็ดเงินลงทุนที่อยู่ในสินค้าน้ำมัน จะไหลเข้าหาผลตอบแทนในตลาดหุ้นทั่วโลกมากขึ้น

“ผมมองว่าโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะได้รับอานิสงส์จากฟันด์โฟล์นั้นยังมีน้อยมาก เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเติบโตช้ากว่าที่คาด รวมถึงตลาดหุ้นไทยมีราคาแพงเมื่อเทียบกับตลาดต่างประเทศอื่น โดยคาดว่าเม็ดเงินส่วนใหญ่จะไหลเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นที่ราคาไม่แพง และเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว อย่างประเทศจีน ที่ล่าสุดเป็นเป้าหมายอันดับ 1 ของเม็ดเงินทั่วโลก รวมไปถึงตลาดหุ้นญี่ปุ่น และยุโรป ตามลำดับ” นายก้องเกียรติ กล่าว

อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐตามที่ประกาศไว้ ก็น่าจะเป็นส่วนช่วยกระตุ้นให้ฟันด์โฟล์ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยได้มากขึ้น ดังนั้น จึงยังไม่สามารถประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 2558 ได้ว่า จะปรับตัวขึ้นสู่ 1,700 จุด ตามที่หลายฝ่ายคาดหวังไว้หรือไม่ เพราะปัจจุบันหุ้นบิ๊กแคปอย่างกลุ่มพลังงาน ถูกกดดันด้วยปัจจัยราคาน้ำมันตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มสื่อสาร ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาผลักดันราคาหุ้น ส่วนกลุ่มธนาคาร ถือว่าค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับราคาหุ้นอุตสาหกรรมเดียวกันในต่างประเทศ

“ถ้าหากตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวได้ก็น่าจะมาจากสภาพคล่องในประเทศที่ยังมีอยู่พอสมควร ส่วนปัจจัยที่ต้องจับตามากที่สุด คือ ความผันผวนของฟันด์โฟล์ที่จะมีความรุนแรงมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ และการเติบโตของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน” นายก้องเกียรติ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น