“เมืองไทยลิสซิ่ง” ปิดเทรดวันแรก เหนือจอง 116.36% วอลุ่มทะลักกว่าหมื่นล้าน ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 0.36% โบรกฯ ชี้ ราคาหุ้น MTLS มีโอกาสไปไกลกว่าพื้นฐาน
รายงานข่าวแจ้งว่า ราคาหุ้นบริษัท เมืองไทย ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MTLS ปิดเทรดวันแรก ที่ระดับ 11.90 บาท เพิ่มขึ้น 6.40 บาท หรือเปลี่ยนแปลง +116.36% จากราคาขาย IPO ที่หุ้นละ 5.50 บาท โดยมีมูลค่าซื้อขายสูงถึง 1.19 หมื่นล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 0.36%
ทั้งนี้ บทวิเคราะห์ของ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า ได้มีการประเมินหุ้น MTLS หากประมาณการกำไรสุทธิปี 58 เพิ่มขึ้น 20% จากปี 57 เป็น 635 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นที่ 0.30 บาท (Fully Diluted จากจำนวนหุ้นหลัง IPO ที่ 2,120 ล้านหุ้น) และใช้ Forward P/E ปี 58 เท่ากับ 29.4 เท่าซึ่งเป็น P/E ที่ SAWAD ที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกันซื้อขายอยู่ จะได้ราคาพื้นฐานที่ 8.82 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาจอง IPO ที่ 5.50 บาทอยู่ 60% แต่เนื่องจากนักลงทุนให้ส่วนเพิ่ม (premium) จากธุรกิจประเภทนี้มาก จนราคา SAWAD ตอนนี้สูงกว่าจองที่ 6.90 บาท เป็น 3 เท่าตัวเป็น 21.30 บาท จึงมีโอกาสเช่นกันที่ราคาหุ้น MTLS จะไปไกลกว่าราคาพื้นฐานจากส่วนเพิ่มที่นักลงทุน
โดยบทวิเคราะห์ฯ มองว่าหุ้นของ MTLS น่าสนใจซื้อลงทุน เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง ในฐานะผู้นำตลาดเบอร์หนึ่งสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ ของเมืองไทย ที่มีความเชี่ยวชาญในการปล่อยสินเชื่อทะเบียนรถ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินเชื่อทะเบียนรถจักรยานยนต์ ปัจจุบันมีฐานลูกค้ากว่า 7 แสนบัญชี อีกทั้งยังมีการบริหารจัดการความเสี่ยงจากการปล่อยกู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเห็นได้จากสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ในระดับต่ำเทียบกับอุตสาหกรรม
ขณะที่เศรษฐกิจรากหญ้ายังไม่ฟื้นตัวดี โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัด แต่กลับส่งผลดีกับบริษัทในการปล่อยสินเชื่อได้เพิ่ม เป้าหมายบริษัทเป็นไปในเชิงรุกจากจำนวนสาขาช่วงครึ่งปีแรกปี 57 ที่ 454 แห่ง จะเพิ่มเป็น 1,000 แห่งภายในปี 2560 และยอดการให้สินเชื่อเพิ่มเป็น 25,000 ล้านบาทภายในปี 2560
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 57 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 1,348.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 19.14% และมีกำไรสุทธิ 397.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 77.15% โดย ณ วันที่ 30 ก.ย. 57 บริษัทมีเงินให้สินเชื่อที่หยุดรับรู้รายได้ (NPL) ต่อสินเชื่อรวม 1.64% และหนี้สูญต่อสินเชื่อรวม 0.08% ซึ่งแสดงให้เห็นว่า บริษัทยังสามารถรักษาอัตราส่วนทั้งสองได้ในระดับต่ำ และสะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการลูกหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนอัตราการเติบโตกำไรสุทธิระหว่างปี 54-56 ที่ผ่านมาในลักษณะ CAGR สูงเป็น 81.34%