เมื่อเวลา 10.24 น. ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เคลื่อนไหวอยู่ที่ 1,581.05 จุด ลดลง 0.22 จุด เปลี่ยนแปลง -0.01% มูลค่าการซื้อขาย 6,966.95 ล้านบาท
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ ระบุ วันนี้ (19 พ.ย.) ดัชนีมีแนวโน้มแกว่งตัวแรงในกรอบแนวรับ 1,575-1,577 จุดแนวต้าน 1,587-1,591 จุด รอดูมาตรการควบคุมหุ้นร้อนช่วงบ่าย อย่างไรก็ตาม การที่นักลงทุนเริ่มกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลก หลังผลสำรวจคาดการณ์ภาวะธุรกิจ (ZEW Survey Expectations) ของสหภาพยุโรป หรือ อียู ในเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 11.0 จาก 4.1 ในเดือนก่อนหน้า เป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 11 เดือน
นอกจากนี้ การประกาศยุบสภาของนายกฯ ญี่ปุ่น (มีผล 21 พ.ย.) และชะลอการขึ้นภาษี VAT ออกไปอีก 18 เดือน ช่วยผ่อนคลายความกังวลเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่เข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว หลัง GDP 3Q57 ติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน วานนี้ (18 พ.ย.) SET ดีดกลับแรงกว่าที่เราประเมินไว้ ขณะที่เงินทุนต่างชาติเริ่มส่งสัญญาณบวกรอบใหม่ มองมีโอกาสเดินหน้าขึ้นต่อ โดยหากสามารถปิดเหนือระดับ 1,587 ขึ้นไป ถือเป็นการสิ้นสุดการพักตัว และเปลี่ยนแนวโน้มระยะสั้นเป็นขยับขึ้นทดสอบ 1,600 วันนี้จับตา! ตลท.หารือมาตรการคุมหุ้นร้อน อาจทำให้เกิดความผันผวน
แนะนำกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิเคราะห์ยังมอง SET จะกลับมายืนเหนือ 1,600 ก่อนสิ้นปี และคาดว่าจะวิ่งขึ้นทดสอบ 1,650-1,700 ภายใน 1Q58 จาก (1) การเร่งตัวของ GDP ไทยในทุกไตรมาสนับจาก Q4 เป็นต้นไป (2) เม็ดเงิน LTF&RMF ทยอยไหลเข้าราว 2-2.5 หมื่นล้านบาท ในช่วงที่เหลือของปีนี้ (3) โอกาสผ่อนคลายมาตรการเงินเพิ่มเติมจาก ECB, PBOC, BOJ
หุ้นเทรดดิ้งสั้น-สัญญาณเงินนอกไหลเข้ารอบใหม่ หุ้นที่น่าจะเป็นเป้าหมายหลัก KBANK, SCB, KTB, LH หุ้นได้ประโยชน์การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ CK, SCC, SEAFCO หุ้นมีสัญญาณเชิงบวก SUSCO, AAV /หลีกเลี่ยงหุ้นน้ำมัน-ปิโตรฯ
หุ้นสะสมโค้งสุดท้ายปี 57 หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50/SET100 แนะนำ CK, KTIS/SAWAD, SIM, ANAN ตามลำดับ หุ้นขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้มการเติบโตดีในปีหน้า น่าจะเป็นเป้าหมายเข้าลงทุนของเม็ดเงิน LTF & RMF แนะนำ ADVANC, BGH, INTUCH, KBANK, LH, SCB, TRUE
ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จะมีการหารือกับตลาดหลักทรัพย์ (ตลท.) เรื่องการออกมาตรการควบคุมหุ้นเก็งกำไร หลังจากที่ ก.ล.ต. ได้ปรับเกณฑ์การคัดเลือกหุ้นเข้า Turnover List ในวันที่ 14 พ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเชื่อว่าการประชุมในวันนี้น่าจะกดดันหุ้นเล็กที่อยู่นอก SET100 และที่อยู่ในตลาด mai ซึ่งมีมูลค่าซื้อขายที่สูงขึ้นผิดปกติ โดยหุ้นที่อยู่นอก SET100 มักจะมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ราว 10-20% ของมูลค่าตลาดรวม แต่ในช่วง 3-4 เดือนหลังสุด มูลค่ากลับสูงขึ้นต่อเนื่อง
โดยในเดือน พ.ย. หุ้นนอก SET100 กินสัดส่วนถึง 52% ของมูลค่าซื้อขายรวมของตลาด ขณะที่ในตลาด mai มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันปรับเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน ตั้งแต่ต้นปีมูลค่าเฉลี่ยอยู่ที่ราว 600-1,000 ล้านบาทต่อวัน แต่มูลค่ากลับพุ่งสูงขึ้นถึงกว่า 7 พันล้านบาทต่อวันในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา อีกทั้งการที่ดัชนี mai ให้ผลตอบแทนถึงกว่า 105% นับตั้งแต่ต้นปี ทำให้หุ้นเล็กในกลุ่มนอก SET100 และหุ้นใน mai ที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ มีความเสี่ยงอย่างมาก แนะนำหลีกเลี่ยงในระยะสั้น