ปิดตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วงเช้าวันที่ 19 พฤศจิกายน 2557 ไปที่ 1,572.30 จุด เพิ่มขึ้น 1.10 จุด เปลี่ยนแปลง +0.07% มูลค่าการซื้อขาย 26,667.73 ล้านบาท โดยระหว่างเทรดแตะจุดสูงสุดที่ 1,575.15 จุด และต่ำสุดที่ 1,565.83 จุด
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป ระบุ SET วันนี้ผันผวน Sideways ในกรอบ 1,560-1,580 หลังทั้งแรงซื้อของสถาบัน และต่างชาติดูอ่อนแรงลักษณะเป็นการสลับซื้อขาย โดยเห็นการเก็งกำไรของนักลงทุนรายย่อยโดยเฉพาะในหุ้นขนาดเล็กมากขึ้น ขณะใกล้สิ้นสุดการประกาศผลประกอบการ Q3 กลยุทธ์ขึ้นขายลงซื้อในกรอบ โดยทยอยลดพอร์ตหุ้นระยะสั้นลงที่ 40% ยังเน้นผลประกอบการ Q3 เด่นต่อไป เช่น AP, BGH
สอดคล้องต่อฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ที่สรุปว่า เศรษฐกิจไทยยังเผชิญต่อการฟื้นตัวล่าช้า บวกกับอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำเพียง 1.48% ในเดือน ต.ค. และเพียง 1.3% จากต้นปีจนถึงปัจจุบัน อาจทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย โดย กนง. จะต้องยืดระยะเวลาในการใช้ดอกเบี้ยนโยบายต่ำต่อไป
ประกอบกับขณะนี้บริษัทจดทะเบียนทยอยรายงานผลประกอบการงวด 3Q57 แล้วประมาณ 200 บริษัท ส่วนใหญ่จะทรงตัว หรือต่ำกว่าคาด ทั้งนี้ คาดว่างวด 3Q57 คาดกำไรสุทธิตลาดจะอยู่ที่ 2 แสนล้านบาท ทรงตัวจากงวด 2Q57 (qoq) เบื้องต้น ฝ่ายวิจัยจึงปรับลดกำไรตลาดปี 2557 และ 2558 ลง จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 8.7 แสนล้านบาท และ 9.83 แสนล้านบาท นั่นหมายความว่าตลาดหุ้นไทยมีค่า Expected P/E ราว 16.7 เท่า ณ สิ้นปี 2557 และ 14.4 เท่า สิ้นปี 2558 ตามลำดับ เทียบกับ current P/E ที่สูงกว่า 16.9 เท่า จึงทำให้ยังโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยปรับฐานลงมาอีกครั้ง กลยุทธ์การลงทุนยังเน้นถือหุ้นเพียง 30% และเลือกลงทุนหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง มีค่า P/E ต่ำ เงินปันผลสูง และแนวโน้มผลดำเนินงานเติบโต คาดว่าช่วงบ่ายดัชนีฯ จะยังคงแกว่งตัวในกรอบแคบต่อเนื่องจากช่วงเช้า
สำหรับหลักทรัพย์ 5 อันดับแรกที่มีการซื้อขายสูงสุด ได้แก่ บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน), บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ วิศวการ จำกัด (มหาชน), บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีเออี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)