นักลงทุนสถาบันคาด SET Index ในช่วงที่เหลือจนถึงปลายปี ดัชนีฯ น่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นแตะ 1,600 จุด และมีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบที่ระดับดัชนีฯ 1,700 จุด ในปีหน้า
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ยังน่าจะมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ อยู่และมีการซื้อขายกันในปริมาณที่เบาบาง เนื่องจากนักลงทุนยังรอดูปัจจัยใหม่ๆ ที่เข้ามาสนับสนุนตลาดอยู่ จึงทำให้นักลงทุนช่วงนี้อยู่ในสถานะ wait&see รวมทั้งในสัปดาห์นี้ ตลาดมีวันหยุดในช่วงปลายสัปดาห์ก็อาจทำให้นักลงทุนกลับมาลงทุนอีกครั้งในช่วงสัปดาห์หน้า
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นในระยะสั้น ยังต้องเผชิญแรงกดดันกับการเทขายเพื่อทำกำไรหลังจากที่ดัชนีฯ ปรับตัวขึ้นแรงและเร็วในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มูลค่าหุ้น (Valuation) ในปัจจุบันเริ่มสูงเมื่อเทียบกับภูมิภาค ประกอบกับในช่วงนี้ยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติมเข้ามาสนับสนุนตลาดมากนัก ทำให้นักลงทุนยังชะลอการลงทุนเพื่อรอดูปัจจัยเพิ่มเติม โดยเฉพาะมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมทั้งที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยต่างประเทศที่ทำให้มี Sentiment เชิงลบ เช่น กระแสข่าวการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ หลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจฟื้นตัวได้แข็งแกร่งและมาตรการ QE เริ่มสิ้นสุดลงในเดือน ต.ค. 57 ความกังวลของการเติบโตของเศรษฐกิจจีน และ Geopolitical Risk ของตะวันออกกลางในกลุ่มรัสเซียและยูเครนที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งอาจบานปลายต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรปต่อรัสเซีย ทำให้นักลงทุนทยอยลดพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อลดความเสี่ยงลง ทำให้ SET Index ปรับฐานลดลงมาอยู่ที่ระดับช่วง 1,520-1,530 จุด หลังจากที่ปรับตัวสูงขึ้นไปแตะระดับที่ 1,600 จุด ในช่วงเดือน ส.ค. 57
อย่างไรก็ดี แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับฐานย่อตัวลงในช่วงที่ผ่านมา แต่มองว่าด้วยปัจจัยบวกที่ยังคงรออยู่ข้างหน้า โดยเฉพาะแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ทยอยออกมาต่อเนื่อง โดยเฉพาะแผนการดำเนินงานระยะยาวผ่านการลงทุนในโครงการด้านคมนาคมขนส่ง เช่น รถไฟฟ้า การก่อสร้างสุวรรณภูมิ เฟส 2 รวมทั้งการเร่งดำเนินการตามแผนเร่งด่วน เช่น การเบิกจ่ายงบลงทุน การส่งเสริมโครงการการลงทุน BOI การปฏิรูปโครงสร้างพลังงาน LPG และ NGV หลังจากที่ผ่านมาได้ผลักดันการท่องเที่ยวผ่านการลดหย่อนภาษี และการเร่งกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศผ่านการช่วยเหลือด้านค่าครองชีพให้แก่ชาวนา เป็นต้น
ขณะที่ ปัจจัยบวกจากต่างประเทศ มองว่าจะมาจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทยอยกลับคืนมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงตามลำดับ ประกอบกับแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินเชิงปริมาณเพิ่มเติมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งเชื่อว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยเฉพาะวงเงินที่จะเข้าซื้อสินทรัพย์เพิ่มเติมของ Asset Backed Securities และ Covered Bond ซึ่งจะผลักดันให้มีสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มเติม ทำให้ความกังวลในด้านการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและการสิ้นสุด QE ลดลง ซึ่งคาดว่า SET Index ในช่วงที่เหลือจนถึงปลายปี ดัชนีฯ น่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นแตะ 1,600 จุด และมีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบที่ระดับดัชนีฯ 1,700 จุดในปีหน้า