xs
xsm
sm
md
lg

ซีไอเอ็มบีมองยุโรป ดบ.ต่ำต่อเนื่อง ออก “ไฮยิลด์ บอนด์” ทางเลือกลงทุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ออก “ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ยูโร ไฮ ยิลด์” เน้นลงทุนตราสารหนี้ผลตอบแทนสูงของบริษัทเอกชนชั้นนำในภูมิภาคยุโรป ผลตอบแทนประมาณ 6-8% ต่อปี มอง ECB คงดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่อง และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจส่งผลบวกการลงทุนในตราสารหนี้ภูมิภาคยุโรป

นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด กล่าวว่า ตราสารหนี้ผลตอบแทนสูงเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่แนะนำให้เพิ่มการลงทุนในพอร์ตการลงทุนของลูกค้า โดยเฉพาะตราสารหนี้ผลตอบแทนสูงในภูมิภาคยุโรปมีความน่าสนใจและเหมาะสมกับการลงทุนในช่วง 1-2 ปีข้างหน้านับจากนี้ ด้วยเหตุผลสนับสนุนจากการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตัดสินใจที่คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำที่ระดับ 0.05% และดอกเบี้ยฝากเงินกับ ECB ที่ -0.2% รวมถึงการดำเนินนโยบายมาตรการเงินเชิงผ่อนคลาย (QE) เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมในภูมิภาคยุโรปให้ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปและต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเข้าซื้อตราสารหนี้ที่ค้ำประกันด้วยสินเชื่อคุณภาพ (Covered Bond) จากธนาคารพาณิชย์ และซื้อตราสารหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (ABS : Asset-Backed Securities) โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาการดำเนินการอย่างน้อย 2 ปีนับจากไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งนโยบายนี้ส่งผลบวกต่อตลาดตราสารหนี้ในภูมิภาคยุโรป โดยเรามองเห็นโอกาสที่กองทุนจะสามารถสร้างผลตอบแทนจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาตราสารหนี้ในช่วงระยะเวลา 2 ปีที่นโยบายยังคงอยู่ ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความสามารถที่กองทุนจะสร้างผลตอบแทน

ทั้งนี้ ภาพเศรษฐกิจกลุ่มยูโรโซนโดยรวม ภายหลังจากที่ ECB ดำเนินมาตรการกระตุ้นเชิงเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมาตรการเพื่อกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชน โดยการกระตุ้นสินเชื่อและสนับสนุนการปล่อยเงินกู้ให้บริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจยูโรโซน เรามองว่าจะทำให้บริษัทต่างๆ มีแนวโน้มผลประกอบการที่ดีขึ้น ซึ่งทำให้ตราสารหนี้บริษัทเอกชนจะได้รับความสนใจในการลงทุนมากขึ้น ซึ่งก็เป็นผลบวกต่อการลงทุนสำหรับกองทุนนี้เช่นกัน
โดยกองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ยูโร ไฮ ยิลด์ เน้นลงทุนในกองทุนหลัก USB Euro High Yield Bond Fund บริหารโดย UBS Global Asset Management บริษัทจัดการลงทุนชั้นนำในยุโรป และเป็นผู้จัดการกองทุนที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยถือเป็นกองทุนที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นได้รับรางวัล Lipper Award 5 ปีติดต่อกัน (นับตั้งแต่ปี 2010-2014) และได้รับการจัดอันดับ 5 ดาวจาก MorningStar

สำหรับการลงทุนนั้น ผู้จัดการกองทุนจะคัดเลือกตราสารหนี้ภาคเอกชนชั้นนำ โดยมีการกระจายการลงทุนในตราสารมากกว่า 200 บริษัทในหลายอุตสาหกรรมในยุโรปที่ให้ผลตอบแทนสูง และถือครองตราสารลงทุนกว่า 400 ตราสาร ดังนั้นน้ำหนักการลงทุนโดยเฉลี่ยต่อตราสารเพียง 0.23% และมีอายุเฉลี่ยของตราสารที่ลงทุนในกองทุนหลักโดยเฉลี่ยประมาณ 3.4 ปี ซึ่งเหมาะสมกับทิศทางเศรษฐกิจของยุโรปในปัจจุบัน ด้านการคัดเลือกตราสารหนี้ที่ลงทุน จะเน้นการประเมินพื้นฐานของบริษัทและเน้นการบริหารความเสี่ยงของการลงทุนในแต่ละตราสาร และให้ความสำคัญต่อการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมเป็นหลัก โดยคาดว่ามีโอกาสจะสามารถสร้างอัตราผลตอบแทนให้แก่ผู้ซื้อหน่วยลงทุนเฉลี่ยประมาณ 6-8% ต่อปี

ด้านตราสารหนี้ที่กองทุนลงทุนอยู่นั้น โดยมากเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ Societe Generale SA ธนาคารที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศฝรั่งเศส Deutsche Bank ธนาคารใหญ่ที่สุดในเยอรมนีและครองสัดส่วนตลาดด้านการให้บริการ Foreign Exchange Dealer มากที่สุดในโลก Credit Suisse ธนาคารขนาดใหญ่เป็นอันดับ2 รองจาก UBS ในสวิตเซอร์แลนด์ Credit Agricole SA ธนาคารชั้นนำที่มีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของฝรั่งเศส และ Telecom Italia SpA ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์รายใหญ่ที่สุดในอิตาลี

“การลงทุนในตราสารหนี้ผลตอบแทนสูงภูมิภาคยุโรป เหมาะสำหรับนักลงทุนไทยที่ต้องการแสวงหาผลตอบแทนที่ดีและมีความเสี่ยงที่ไม่สูงมากนัก รวมทั้งผลงานการบริหารที่ดีอย่างต่อเนื่องของกองทุนหลักที่เราคัดเลือกมา ทำให้เราคาดว่ากองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ยูโร ไฮ ยิลด์ จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมให้แก่นักลงทุน และกองทุนนี้มีการปันผลตอบแทนผ่านการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติทุกๆ 3 เดือน ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งกองทุนมีนโยบายการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน” นายจุมพลกล่าว

กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ยูโร ไฮ ยิลด์ กำหนดวงเงินทั้งสิ้น 5,000 ล้านบาท โดยเปิดขายให้ประชาชนทั่วไป (IPO) ระหว่างวันที่ 13-24 ตุลาคมนี้ มูลค่าขั้นต่ำของการสั่งซื้อครั้งแรก 510,000 บาท และครั้งถัดไป 5,000 บาท


กำลังโหลดความคิดเห็น