“เผดิมภพ” แนะ Q4 ตลาดหุ้นผันผวนหนัก แนะนักลงทุนปรับพอร์ตเลี่ยงความเสี่ยง ชี้กำไรของบริษัทจดทะเบียนปี 2558 คาดเติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 15-16% จากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ด้าน “ประกิต” ชี้เศรษฐกิจไทยในปีหน้าหวัง GDP โตตามเป้า 4% ไม่งั้นกระทบกลุ่มธุรกิจ SME ซึ่งตอนนี้ทรุดแล้วกว่า 40% แนะการลงทุนปีหน้าลำบาก จากปัญหารอบด้าน
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการเงินทุนบุคคล บล.กสิกรไทย กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ จะอยู่ที่ความกังวลของตลาดทุนทั่วโลกที่มีต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ว่าจะเริ่มมีขึ้นเมื่อไหร่ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเลื่อนเวลาไปถึงเดือนเมษายนปีหน้า อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักลงทุนควรจับตาพิจารณาในขณะนี้คือ ตัวเลขดัชนีภาคการผลิต PMI ของประเทศสหรัฐฯ ซึ่่งจะประกาศอกมาในวันที่ 23 ตุลาคมนี้ ซึ่งถ้าหากค่าดัชนีต่ำกว่า 50% จะสะท้อนภาพรวมตลาดออกมาในทางลบ เพราะจะกระทบต่อภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลก ทำให้ฟันโฟลด์ทางการเงินต่างๆ ในตลาดทุนจะไหลเข้าไปลงทุนในตลาดทองคำมากขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนของกำไรของบริษัทจดทะเบียนนั้นในปี 2558 คาดว่าจะเติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 15-16% ตามภาพรวมของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น และสถานการณ์การเมืองภายในประเทศเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น และประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้นจากโครงการต่างๆ ของรัฐบาลที่มีนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ สนับสนุนการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานเริ่มประกาศใช้
อย่างไรก็ดี ในส่วนภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปีหน้าคาดว่าจะไม่ปรับตัวขึ้นมากนัก เนื่องจากเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติจะยังไม่ใหลกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทำให้แนวโน้มการลงทุนของนักลงทุนจะมีความยากลำบากมากขึ้น จากปัจจัยลบที่ยังกดดัน คือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งอาจจะเร็วกว่าที่ตลาดคาด เป็นไตรมาส 2/2558 จากเดิมคาดไตรมาส 3/2558 ทำให้มีแรงขายหุ้นเพื่อไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ พันธบัตรสหรัฐ เป็นต้น ส่งผลให้แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยปีหน้าคาดว่าจะเคลื่อนใหวอยู่ที่ 1,710 จุด บนสมมติฐานของกำไร บจ.ปีหน้าโต 16% หรือมีกำไรต่อหุ้นที่ 115 บาท ขณะที่ดัชนี SET INDEX ในไตรมาส 4 คาดว่าจะแกว่งตัวในแนวลบประมาณ 1,460-1,470 จุด จากค่า P/E เฉลี่ยที่ 15 เท่า ซึ่งนักลงทุนควรปรับพอร์ตเน้นถือเงินสดเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากดัชนีหุ้นผันผวน
ขณะที่ นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส หรือ ASP กล่าวว่า แนวโน้มภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีหน้าพิจารณาเปรียบเทียบจากประมาณการ GDP ที่ประเมินไว้คาดว่าจะเติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 4% ซึ่งถ้าหากโตขึ้นถึง 4% จะเป็นแรงหนุนเศรษฐกิจไทยปรับตัวขึ้นทั้งระบบจุลภาค และมหภาค แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อาจจะเป็นปัญหาคือ กลุ่มธุรกิจ SME ที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อมานาน ทำให้กลุ่ม SME ลดลงแล้วกว่า 40% ซึ่งถ้าหากในปีหน้าเศรษฐกิจไม่โตตามเป้าที่วางไว้อาจส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจ และกลุ่มธุรกิจ SME โดยตรง
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการลงทุนของตลาดหุ้นไทยในปีหน้าอาจเข้าสู่สภาวะซบเซาตั้งแต่ไตรมาสที่ 2-4 ของปี 2558 เนื่องจากนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB และธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้เงินทุนจากต่างชาติไม่ใหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย และภูมิภาค แต่จะเริ่มฟื้นตัวกลับขึ้นมาในไตรมาสที่ 1/2559 จากการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ AEC เต็มตัวแล้ว