ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป ศึกษาธุรกิจพลังงาน หวังผุดโซลาร์รูฟ ขนาดกำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 5-6 เมกะวัตต์ ประหยัดต้นทุนการใช้ไฟฟ้าในโรงงาน พร้อมสร้างรายได้เพิ่มให้บริษัทฯ ยันรายได้เป้าสิ้นปียังคงเป้าที่ 1 พันล้านบาท
นายวีระพล ไชยธีรัตต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CWT ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ 4 ประเภท ได้แก่ ผลิตภัณฑ์หนังสัตว์ฟอก และบริการฟอกหนัง ผลิตภัณฑ์ของเล่นสัตว์เลี้ยง 3 ผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์หนัง และผลิตภัณฑ์เบาะหนังและชิ้นส่วนหนังสำหรับรถยนต์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ในระหว่างการศึกษาระบบการผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ (โซลาร์รูฟ) ที่จะติดตั้งบนหลังคาอาคารต่างๆ ซึ่งถ้าภายหลังศึกษาแล้วเป็นไปได้ในทางธุรกิจทางบริษัทฯ ก็พร้อมเดินหน้าในการสร้างธุรกิจใหม่ให้กับบริษัทฯ ที่จะทำให้บริษัทมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นในอนาคตข้างหน้า
“ก่อนหน้านี้ทาง CWT เมื่อปี 55-56 ที่ผ่านมา บริษัทได้นำระบบตู้อบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้กับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของบริษัท (ธุรกิจของเล่นสุนัข) ซึ่งได้ประโยชน์เป็นอย่างมาก คุณภาพของสินค้าสะอาด ปราศจากการปนเปื้อน ยกระดับคุณภาพของสินค้า ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้า และช่วยอนุรักษ์พลังงาน ในปี 57 นี้จึงทำให้ทางบริษัทสนใจที่จะเริ่มศึกษาระบบการผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ (โซลาร์รูฟ) ที่จะติดตั้งบนหลังคาอาคารต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะผลักดันการใช้พลังงานที่มาจากพลังงานที่สะอาด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมซึ่งถ้าศึกษาแล้วมีความเป็นไปได้ก็จะเดินหน้าทำธุรกิจนี้เพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ อย่างแน่นอน” นายวีรพล กล่าว
นายวีระพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังเมื่อได้ทำการศึกษาโครงการดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บริษัทฯ หรือองค์กรจะไม่เป็นเพียงผู้ใช้ไฟฟ้า แต่จะเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ ซึ่งจะประหยัดต้นทุนในด้านพลังงานและใช้งานได้ยาวนานแน่นอน และถ้ามีกำลังการผลิตที่เหลือจากใช้ในโรงงานก็สามารถขายให้กับการไฟฟ้าได้อีกเป็นรายได้ให้กับบริษัท โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีโรงงานทั้งผลิตหนัง 3 แห่ง และโรงงานเฟอร์นิเจอร์ น่าจะมีพื้นที่หลังคารวมกันหลายหมื่นตารางเมตร สามารถผลิตไฟฟ้ากำลังการผลิตประมาณ 5-6 เมกะวัตต์
นายวีระพล กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2557 บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 938 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้แล้ว 413.27 ล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นในปีถัดไป โดยคาดว่ายอดขายจะเติบโตมากกว่า 25% ต่อปี เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้ารายเดิม ขณะที่บริษัทฯ จะเน้นเพิ่มลูกค้าในต่างประเทศ ขณะที่ปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากการผลิตสินค้าให้กับผู้ประกอบการกลุ่มยานยนต์ประมาณ 60% และเป็นส่งออกโปรดักต์สเกี่ยวกับเครื่องหนังอีกราว 40%