EPG พร้อมเดินหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังยื่นไฟลิ่งให้ ก.ล.ต. เสนอขาย IPO 700 ล้านหุ้น ต่อยอดธุรกิจในเยอรมนี และจีน ตั้งเป้าเติบโตรายได้โต 8-10% ต่อเนื่องทุกปี
ดร.ภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ ประธานบริหาร บมจ.อีสเทิร์น โพลีเมอร์ กรุ๊ป หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก กล่าวว่า บริษัทได้ยื่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ( ก.ล.ต.) เพื่อขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก จำนวน 700 ล้านหุ้น ตั้งแต่วันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา โดยแต่งตั้งธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นของ EPG มีกลุ่มวิทูรปกรณ์ ถือหุ้นประมาณเกือบ 100% ภายหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน สัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่มวิทูรปกรณ์ ในบริษัทจะลดเหลือประมาณ 75% ซึ่งบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมของบริษัท เบื้องต้นคาดว่าจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนได้ในช่วงปลายปี 2557 ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. คาดจะสามารถเข้าจดทะเบียนซื้อขายหุ้น IPO ได้ทันภายในไตรมาสที่ 4 นี้
โดยปัจจุบัน ธุรกิจในกลุ่ม EPG ประกอบด้วย 3 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายฉนวนยางกันความร้อน/เย็น นำโดยภายใต้แบรนด์แอร์โรเฟล็ก (Aeroflex) โดยในปี 2556 มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 34% ของรายได้ทั้งหมดของกลุ่ม EPG ที่มีมูลค่าประมาณ 6,590 ล้านบาท ในปี 2556 ที่ผ่านมา โดยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายฉนวนยางกันความร้อน/เย็น ที่มีเทคโนโลยียางสังเคราะห์ EPDM (Ethylene Propylene Diene Methylene) ซึ่งในปัจจุบันมีฐานการผลิตทั้งหมด 8 แห่งทั่วโลก มีกำลังการผลิตกว่า 30,000 ตันต่อปี โดยส่งไปจำหน่ายยังประเทศต่างๆ ได้แก่ ไทย สหรัฐอเมริกา เยอรมนี อินเดีย รัสเซีย สวิตเซอร์แลนด์ และจีน 2 แห่ง มีกำลังการผลิตฉนวนยางประเภท EPDM รวมทั้งสิ้น 15,000 ตันต่อปี ขณะที่ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ชิ้นส่วนและตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์แอร์โรคลาส (Aeroklas) ซึ่งเป็นผู้ผลิตพื้นปูกระบะที่มีกำลังการผลิตรายใหญ่แห่งหนึ่งของโลก โดยในปี 2556 มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 33% ของรายได้ทั้งหมดของกลุ่ม EPG บริษัทถือเป็นผู้พัฒนาและออกแบบพื้นปูรถกระบะโดยใช้ระบบตัวยึด (Plate) ซึ่งมีคุณสมบัติสามารถติดตั้งได้โดยในลักษณะที่ไม่ต้องเจาะพื้นรถตัวถังกระบะ โดยปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตประมาณ 800,000 ชิ้นต่อปี ซึ่งนวัตกรรมดังกล่าวทำให้รถกระบะในประเทศไทยมีอัตรายอดการติดตั้งพื้นปูกระบะในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 5% ในปี 2538 เป็น 90% ในปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน ธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกคุณภาพสูง (Premium Product) ภายใต้แบรนด์อีสเทิร์น โพลีแพค หรือ EPP เป็นผู้ผลิตถ้วยน้ำพลาสติกด้วยเทคโนโลยี Extruder และ High-speed In-line Thermoforming ได้ทุกกลุ่มที่มีสายการผลิตครบถ้วนที่สุดในทวีปเอเชีย ซึ่งทำให้ EPP มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 35% ของการผลิตในตลาดทั้งหมด และยังเป็นผู้นำในทวีปเอเชียที่ถือครองตลาดถ้วยพลาสติกในขบวนการผลิตแบบขึ้นรูปด้วยความร้อน (Thermoforming) โดยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 15% จากผู้ผลิตประกอบการรายสำคัญทั้งหมด 5 ประเทศในทวีปเอเชีย คือ ไทย ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และฮ่องกง
ในปี 2556 สำหรับ EPP มีสัดส่วนรายได้ 33% ของรายได้ทั้งหมดของกลุ่ม EPG โดยผลิตภัณฑ์ถ้วยน้ำพลาสติก จัดเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่สร้างรายได้ให้แก่ EPP (ทั้งถ้วยน้ำพลาสติกพอลิโพรพิลีน หรือ PP, ถ้วยน้ำพลาสติกกลุ่มพอลิสไตรีน หรือ PS และถ้วยน้ำพอลิเอทลีนเทเรฟทาเลต หรือ PET)
“ทั้ง 3 ธุรกิจของกลุ่ม EPG มีจุดเริ่มต้น และเติบโตจากการคิดค้น และสร้างสรรค์นวัตกรรม ทำให้สินค้าในกลุ่ม EPG มีคุณภาพ และการพัฒนารูปแบบของสินค้าที่แตกต่าง และโดดเด่นกว่าสินค้าคู่แข่ง และเป็นบริษัทหนึ่งเดียวที่สามารถทำได้ เนื่องจากมีสิทธิบัตรเพื่อป้องกันการลอกเลียนแบบของคู่แข่งมากกว่า 450 รายการฉบับ ทั้งในประเทศไทย และจากหลายประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน ออสเตรเลีย และกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป ประกอบกับการวางยุทธศาสตร์ในการสร้างเครือข่าย และกระจายสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้สินค้าของกลุ่ม EPG ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทชั้นนำ และสามารถส่งออกสินค้าได้กว่า 100 ประเทศทั่วโลก ซึ่งบริษัทตั้งเป้าการเติบโตไม่ต่ำกว่า 8-10% ต่อเนื่องทุกปี”
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน EPG มีทุนจดทะเบียน 2,800 ล้านบาท จำนวนทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 2,100 ล้านบาท โดยมีราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท
ดร.ภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ ประธานบริหาร บมจ.อีสเทิร์น โพลีเมอร์ กรุ๊ป หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก กล่าวว่า บริษัทได้ยื่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ( ก.ล.ต.) เพื่อขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก จำนวน 700 ล้านหุ้น ตั้งแต่วันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา โดยแต่งตั้งธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นของ EPG มีกลุ่มวิทูรปกรณ์ ถือหุ้นประมาณเกือบ 100% ภายหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน สัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่มวิทูรปกรณ์ ในบริษัทจะลดเหลือประมาณ 75% ซึ่งบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมของบริษัท เบื้องต้นคาดว่าจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนได้ในช่วงปลายปี 2557 ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. คาดจะสามารถเข้าจดทะเบียนซื้อขายหุ้น IPO ได้ทันภายในไตรมาสที่ 4 นี้
โดยปัจจุบัน ธุรกิจในกลุ่ม EPG ประกอบด้วย 3 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายฉนวนยางกันความร้อน/เย็น นำโดยภายใต้แบรนด์แอร์โรเฟล็ก (Aeroflex) โดยในปี 2556 มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 34% ของรายได้ทั้งหมดของกลุ่ม EPG ที่มีมูลค่าประมาณ 6,590 ล้านบาท ในปี 2556 ที่ผ่านมา โดยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายฉนวนยางกันความร้อน/เย็น ที่มีเทคโนโลยียางสังเคราะห์ EPDM (Ethylene Propylene Diene Methylene) ซึ่งในปัจจุบันมีฐานการผลิตทั้งหมด 8 แห่งทั่วโลก มีกำลังการผลิตกว่า 30,000 ตันต่อปี โดยส่งไปจำหน่ายยังประเทศต่างๆ ได้แก่ ไทย สหรัฐอเมริกา เยอรมนี อินเดีย รัสเซีย สวิตเซอร์แลนด์ และจีน 2 แห่ง มีกำลังการผลิตฉนวนยางประเภท EPDM รวมทั้งสิ้น 15,000 ตันต่อปี ขณะที่ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ชิ้นส่วนและตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์แอร์โรคลาส (Aeroklas) ซึ่งเป็นผู้ผลิตพื้นปูกระบะที่มีกำลังการผลิตรายใหญ่แห่งหนึ่งของโลก โดยในปี 2556 มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 33% ของรายได้ทั้งหมดของกลุ่ม EPG บริษัทถือเป็นผู้พัฒนาและออกแบบพื้นปูรถกระบะโดยใช้ระบบตัวยึด (Plate) ซึ่งมีคุณสมบัติสามารถติดตั้งได้โดยในลักษณะที่ไม่ต้องเจาะพื้นรถตัวถังกระบะ โดยปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตประมาณ 800,000 ชิ้นต่อปี ซึ่งนวัตกรรมดังกล่าวทำให้รถกระบะในประเทศไทยมีอัตรายอดการติดตั้งพื้นปูกระบะในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 5% ในปี 2538 เป็น 90% ในปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน ธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกคุณภาพสูง (Premium Product) ภายใต้แบรนด์อีสเทิร์น โพลีแพค หรือ EPP เป็นผู้ผลิตถ้วยน้ำพลาสติกด้วยเทคโนโลยี Extruder และ High-speed In-line Thermoforming ได้ทุกกลุ่มที่มีสายการผลิตครบถ้วนที่สุดในทวีปเอเชีย ซึ่งทำให้ EPP มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 35% ของการผลิตในตลาดทั้งหมด และยังเป็นผู้นำในทวีปเอเชียที่ถือครองตลาดถ้วยพลาสติกในขบวนการผลิตแบบขึ้นรูปด้วยความร้อน (Thermoforming) โดยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 15% จากผู้ผลิตประกอบการรายสำคัญทั้งหมด 5 ประเทศในทวีปเอเชีย คือ ไทย ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และฮ่องกง
ในปี 2556 สำหรับ EPP มีสัดส่วนรายได้ 33% ของรายได้ทั้งหมดของกลุ่ม EPG โดยผลิตภัณฑ์ถ้วยน้ำพลาสติก จัดเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่สร้างรายได้ให้แก่ EPP (ทั้งถ้วยน้ำพลาสติกพอลิโพรพิลีน หรือ PP, ถ้วยน้ำพลาสติกกลุ่มพอลิสไตรีน หรือ PS และถ้วยน้ำพอลิเอทลีนเทเรฟทาเลต หรือ PET)
“ทั้ง 3 ธุรกิจของกลุ่ม EPG มีจุดเริ่มต้น และเติบโตจากการคิดค้น และสร้างสรรค์นวัตกรรม ทำให้สินค้าในกลุ่ม EPG มีคุณภาพ และการพัฒนารูปแบบของสินค้าที่แตกต่าง และโดดเด่นกว่าสินค้าคู่แข่ง และเป็นบริษัทหนึ่งเดียวที่สามารถทำได้ เนื่องจากมีสิทธิบัตรเพื่อป้องกันการลอกเลียนแบบของคู่แข่งมากกว่า 450 รายการฉบับ ทั้งในประเทศไทย และจากหลายประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน ออสเตรเลีย และกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป ประกอบกับการวางยุทธศาสตร์ในการสร้างเครือข่าย และกระจายสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้สินค้าของกลุ่ม EPG ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทชั้นนำ และสามารถส่งออกสินค้าได้กว่า 100 ประเทศทั่วโลก ซึ่งบริษัทตั้งเป้าการเติบโตไม่ต่ำกว่า 8-10% ต่อเนื่องทุกปี”
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน EPG มีทุนจดทะเบียน 2,800 ล้านบาท จำนวนทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 2,100 ล้านบาท โดยมีราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท