กรุ๊ปลีส หนึ่งในผู้นำตลาดเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ กลับมาผงาดอีกครั้งหลังลุยขยายธุรกิจช่วงเศรษฐกิจซบเซาตั้งแต่ต้นปี มาบัดนี้เริ่มรับอานิสงส์จากเศรษฐกิจรากหญ้าฟื้นตัว ดันกำไรพุ่งแรงในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 วางเป้ากำไรทั้งปีกลับมาแซงหน้าปีที่ผ่านมา
นายมิทซึจิ โคโนชิตะ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL หนึ่งในผู้นำผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ เปิดเผยว่า จากกลยุทธ์ของบริษัทฯ ในการลุยขยายธุรกิจแม้ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ต่างจากบริษัทฯ อื่นๆ ที่ระมัดระวังหรือไม่ขยายธุรกิจ นับว่าเป็นผลดีอย่างยิ่งสำหรับ GL ที่สามารถเพิ่มจำนวนลูกค้าและขยาย
สินเชื่อได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ หลังจากเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในระดับรากหญ้าเริ่มฟื้นตัว
นายมิทซึจิ กล่าวชี้แจงเพิ่มเติมว่า การควบรวมกิจการกับ บริษัท ธนบรรณ จำกัด เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา นับเป็นการขยายตัวแบบก้าวกระโดด เนื่องจากธนบรรณ มีพอร์ตสินเชื่อประมาณ 1,500 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจเดิมของ GL ก็มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าภายในสิ้นปีนี้พอร์ตสินเชื่อรวมทั้งสิ้นจะเพิ่มทะลุ 7,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ธุรกิจเช่าซื้อของบริษัทฯ ลูกในประเทศกัมพูชา ก็มีฐานลูกค้าขยายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยล่าสุด บริษัท GLF จำกัด ได้จัดงานฉลองลูกค้าครบ 10,000 ราย ซึ่งนายมิทซึจิ กล่าวว่า ตลาดกัมพูชามีศักยภาพในการขยายตัวมาก เนื่องจากเป็นตลาดเกิดใหม่ภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขยายตัวอย่างรวดเร็วและประชาชนมีความต้องการยานพาหนะในการเดินทางและดำเนินธุรกิจ โดย GLF อยู่ในฐานะได้เปรียบเพราะได้รับสิทธิพิเศษในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเป็นรถจักรยานยนต์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในกัมพูชา
สำหรับธุรกิจในกัมพูชานั้น ได้ผ่านพ้นจุดคุ้มทุนตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา และเริ่มทำกำไรตั้งแต่ ไตรมาส 3 โดยปัจจุบัน GLF สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ประมาณ 1,200 คันต่อเดือน และจะเพิ่มเป็น 3,000 คันต่อเดือนในช่วงปลายปีนี้ ก่อนเพิ่มเป็น 5,000 คันในปีหน้า เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมและสภาพตลาดที่เอื้ออำนวยเป็นอย่างยิ่ง บริษัทฯ คาดว่า ธุรกิจในกัมพูชาจะสามารถสร้างผลกำไรเป็นกอบเป็นกำอย่างมีนัยสำคัญโดยกำไรจากกัมพูชาจะพุ่งสูงขึ้นเทียบเท่ากับกำไรจากการดำเนินธุรกิจในไทยภายใน 2-3 ปีข้างหน้านี้
สำหรับผลประกอบการของ GL นั้น พุ่งขึ้นไปในระดับสูงสุดในปี 2555 โดยมีกำไรสุทธิมากถึง 357.4 ล้านบาท แต่ยอดกำไรสุทธิลดลงเหลือ 240.3 ล้านบาทในปี 2556 ส่วนกำไรสุทธิในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ ได้ลดลงเหลือ 17.7 ล้านบาท เนื่องจากต้องตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญเป็นจำนวนมาก อันเป็นผลมาจากลูกค้าไม่สามารถผ่อนชำระค่างวดได้ตรงเวลา เพราะภาวะเศรษฐกิจไม่ดี
ล่าสุด นายมิทซึจิ แสดงความมั่นใจว่า ผลประกอบการจะพลิกกลับมาดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะเศรษฐกิจในระดับรากหญ้าที่เป็นฐานลูกค้าสำคัญของ GL ได้ฟื้นตัวดีขึ้น หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง คสช.เข้ายึดอำนาจ เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมและเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ ซึ่งมีผลทำให้ GL สามารถแปลงสำรองเผื่อหนี้สูญที่ตั้งไว้ก่อนหน้านี้ส่วนหนึ่งกลับมาเป็นกำไรได้ หลังจากที่ลูกค้าสามารถกลับมาชำระค่างวดได้ตรงตามเวลา โดยคาดว่าจะส่งผลดีต่อภาพรวมกำไรทั้งปีในปีนี้ ซึ่งบริษัทฯ ตั้งเป้าว่าจะสูงกว่าปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน GL อยู่ระหว่างรอใบอนุญาตจากธนาคารกลางของประเทศลาว เพื่อเริ่มประกอบธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในประเทศลาว คาดว่าจะสามารถเริ่มได้ภายในสิ้นปีนี้ นายมิทซึจิ กล่าวชี้แจงเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างแสวงหาโอกาสในการเทคโอเวอร์กิจการไฟแนนซ์ในประเทศอื่นๆ ในอาเซียน โดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซียและเวียดนาม ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ในการยกระดับ GL ขึ้นสู่สถานะผู้นำบริษัทไฟแนนซ์ในภูมิภาคอาเซียน