เปิดร่าง กม. ป้องฮั้วฉบับปรับปรุง ตั้งสำนักงานนิติบุคคลใหม่ มีบอร์ดกลั่นกรอง 7 คน มีอำนาจทบทวนปรับปรุงกฎเกณฑ์แข่งขันทางการค้าทุก 5 ปี หักของค่าจดทะเบียนการค้า 10 % มาเป็นค่าใช้จ่าย ดึง “รัฐวิสาหกิจทุกแห่ง” อยู่ภายใต้การกำกับ ยกเว้นรัฐวิสาหกิจด้านสาธารณูปโภคที่รัฐเห็นว่ามีความจำเป็น กระทบต่อความมั่นคง บริการสาธารณะ การรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม ส่งกฤษฎีกาดู อำนาจในการยกเลิกโทษจำคุกกับผู้ทำผิดกรณีควบรวมกิจการ
วันนี้ (2 ก.พ.) พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติร่าง พ.ร.บ. แข่งขันทางการค้า ซึ่งได้ปรับปรุงกฎหมายฉบับเดิมเมื่อปี 2542 เพื่อให้การแข่งขันเกิดความเป็นธรรม ไม่มีการผูกขาด ลดการแทรกแซงของรัฐบาล และเป็นไปตามหลักสากล สอดคล้องกับข้อตกลงการค้าเสรีที่ไทยทำไว้กับประเทศต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้ต่างชาติเกิดความมั่นใจในเรื่องการลงทุน
สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ คือ การจัดตั้งสำนักงานที่เป็นนิติบุคคลอิสระที่ไม่ใช่ส่วนราชการ ซึ่งจะมีกระบวนการคัดสรรคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งจำนวน 7 คน อายุ 45 - 70 ปี อยู่ในวาระคราวละ 6 ปี ไม่เกินสองวาระ ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้ง โดยผ่านความเห็นชอบจาก ครม. ซึ่งในปีแรกรัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณเป็นทุนประเดิมก่อตั้งให้ ส่วนในปีต่อ ๆ ไปจะใช้เงินที่ได้จากการหัก 10% ของค่าจดทะเบียนการค้ามาเป็นค่าใช้จ่าย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐวิสาหกิจทุกแห่งจะต้องเข้ามาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานนี้ ยกเว้นรัฐวิสาหกิจด้านสาธารณูปโภคที่รัฐเห็นว่ามีความจำเป็น กระทบต่อความมั่นคง บริการสาธารณะ การรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม
โดยร่าง พ.ร.บ. แข่งขันทางการค้า ฉบับปรับปรุงใหม่นี้มีการแก้ไขนิยามของคำว่า “ผู้ประกอบธุรกิจ” ให้หมายถึงบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน เพื่อป้องกันการฮั้ว หรือการมีอำนาจเหนือตลาด การควบรวมกิจการต้องขออนุญาต นอกจากนี้ ยังกำหนดให้การกระทำใด ๆ นอกราชอาณาจักรแล้วเกิดผลในราชอาณาจักรก็ต้องได้รับโทษด้วยเช่นกัน ซึ่งคณะกรรมการจะมีการพิจารณาปรับปรุงกฎเกณฑ์ให้ทันสมัยทุก 5 ปี
ส่วนกรณีที่กำหนดให้คณะกรรมการมีอำนาจในการยกเลิกโทษจำคุกกับผู้ทำผิดกรณีควบรวมกิจการนั้น ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้รับข้อเสนอของสำนักงานอัยการสูงสุดว่าคงต้องหารือในชั้นกฤษฎีกาอีกครั้ง เนื่องจากจะเป็นการก้าวล่วงต่อกระบวนการยุติธรรม
สำหรับ สารสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ 16 ประเด็นสำคัญ ได่แก่ 1. ปรับปรุงนิยาม “ผู้ประกอบธุรกิจ” ให้ครอบคลุมถึงบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน และเพิ่มนิยาม “บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคลในเครือเดียวกัน” 2. ปรับปรุงบทนิยาม “ผู้ประกอบธุรกิจซึ่งมีอำนาจเหนือตลาด” ให้คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าเป็นผู้มีอำนาจในการออกประกาศหลักเกณฑ์การเป็นผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งมีอำนาจเหนือตลาด 3. เพิ่มเติมบทนิยาม “ปัจจัยสภาพการแข่งขันของตลาด”
4. กำหนดให้รัฐวิสาหกิจทุกประเภทต้องอยู่ภายใต้การบังคับตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ กำหนดข้อยกเว้นสำหรับการดำเนินการตามกฎหมาย หรือนโยบายของรัฐที่มีความจำเป็นในการรักษาความมั่งคงของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ รักษาผลประโยชน์ส่วนรวม หรือจัดให้มีสาธารณูปโภค 5. กำหนดให้มีคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าที่มีความเป็นอิสระที่ผ่านกระบวนการคัดสรรและให้นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จำนวน 7 คน ทั้งนี้ กรรมการจะต้องมีอายุ 45 - 70 ปี วาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี ติดต่อกันไม่เกิน 2 วาระ
6. กำหนดให้มีคณะกรรมการคัดสรร จำนวน 7 คน ทำหน้าที่สรรหาคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า โดยสำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าทำหน้าที่เป็นหน่วยธุรการ 7. กำหนดให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นรัฐวิสาหกิจ มีฐานะเป็นนิติบุคคลที่มีความเป็นอิสระทั้งด้านบุคลากร งบประมาณ และการดำเนินงาน โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลในปีแรก หลังจากนั้นให้จัดสรรเงินจากค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการค้าในอัตราร้อยละ 10 มาเป็นค่าใช่จ่ายในการดำเนินงานของสำนักงานเป็นประจำทุกปี รวมทั้งสามารถจัดเก็บรายได้เป็นค่าใช้จ่ายดำเนินงานของสำนักงานได้
8. กำหนดให้ทบทวนเกณฑ์ผู้ประกอบธุรกิจซึ่งมีอำนาจเหนือตลาดอย่างน้อย 1 ครั้ง ภายในระยะเวลา 5 ปี 9. กำหนดให้ผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ แม้ส่วนหนึ่งส่วนใดได้กระทำนอกราชอาณาจักร และผลแห่งการกระทำเกิดขึ้นในราชอาณาจักร ต้องรับโทษในราชอาณาจักร 10. กำหนดให้ฟ้องคดีที่เกี่ยวกับการกระทำผิดตามพระราชบัญญัตินี้ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ และเพิ่มขั้นตอนกรณีอัยการสูงสุดเห็นว่าสำนวนยังไม่สมบูรณ์พอที่จะดำเนินคดีได้ ให้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานให้สมบูรณ์แล้วส่งให้อัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาสั่งคดี
11. กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจที่กระทำการรวมธุรกิจอันอาจก่อให้เกิดการลดการแข่งขันอย่างมีนัยสำคัญ แจ้งต่อคณะกรรมการก่อนดำเนินการรวมธุรกิจ และส่งงบการเงินเพื่อติดตามผลของการรวมธุรกิจอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี 12. กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับคำสั่งคณะกรรมการฯ สามารถอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อคณะกรรมการได้ 13. กำหนดให้คณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์การลดหย่อนโทษปรับแก่ผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่ตัวการสำคัญในพฤติกรรมการตกลงร่วมกัน จำกัด หรือลดการแข่งขันทางการค้าที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาของศาล
14. เพิ่มโทษปรับทางอาญาในทุกพฤติกรรมความผิดจากเดิม 6 ล้านบาทเป็นร้อยละ 20 ของรายได้ในปีที่กระทำความผิด ทั้งนี้ ได้ยกเลิกโทษจำคุกสำหรับกรณีการรวมธุรกิจ การตกลงร่วมกันที่กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถขออนุญาตต่อคณะกรรมการได้ 15. เพิ่มโทษปรับทางปกครอง กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจฝ่าฝืนคำสั่งของคณะกรรมการ โดยหลักเกณฑ์การคำนวณค่าปรับให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกำหนด และ 16. เพิ่มบทลงโทษกรณีการร้องเรียน ร้องทุกข์ หรือแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือคณะกรรมการ