xs
xsm
sm
md
lg

สิงห์ เอสเตท “S” เริ่มเทรด 26 ก.ย.นี้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายสันติ ภิรมย์ภักดี
ตลาดหลักทรัพย์ฯ รับหุ้นเพิ่มทุน “สิงห์ เอสเตท” เข้าเทรดตั้งแต่ 26 ก.ย.นี้เป็นต้นไป ใช้ชื่อชื่อย่อ S พร้อมเข้าเทรด 26 ก.ย. หลังบริษัทยื่นคำขอพิจารณาคุณสมบัติในการเป็นบริษัทจดทะเบียน และดำเนินการตามเงื่อนไขการรับหลักทรัพย์ครบถ้วน

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. แจ้งว่า ตลท.รับหุ้นเพิ่มทุนของ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S จากทุนจดทะเบียนเดิม 549,998,401 บาท หรือ 549,998,401 หุ้น เพิ่มเป็นทุนจดทะเบียนใหม่คือ 4,712,350,732 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 4,712,350,732 หุ้น เพื่อจัดสรรให้บริษัท สิงห์ พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด 1,801,441,632 หุ้น Singha Property Management (Singapore) Pte.Ltd. 1,130,964,175 หุ้น และนายสันติ ภิรมย์ภักดี 1,229,946,524 หุ้น ในราคาหุ้นละ 1.87 บาท และจองซื้อพร้อมชำระค่าหุ้นเมื่อวันที่ 12 ก.ย.57 ซึ่งการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ S เข้าข่ายกรณี Backdoor Listing โดยมี บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการ สำหรับ “สิงห์ เอสเตท” ดำเนินธุรกิจธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยปัจจุบันมีโครงการ Intro Condominium,Town Home และพื้นที่เชิงพาณิชย์ให้เช่าในโครงการ The Light House Plaza และ ประกอบธุรกิจโรงแรมสันติบุรี บีช รีสอร์ท กอล์ฟ แอนด์ สปา

ทั้งนี้ เป็นผลจากมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ สิงห์ เอสเตท เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 57 ซึ่งผู้ถือหุ้นได้อนุมัติเข้าซื้อ และรับโอนกิจการทั้งหมด (Entire Business Transfer) ของ 2 บริษัทคือ บริษัท เอส ไบร์ทฟิวเจอร์ จำกัด (SBF) ซึ่งเป็นบริษัท Holding Company ที่ถือหุ้นใน 3 บริษัทย่อยที่ถือครองที่ดินเพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย บริษัทสิงห์ พร็อพเพอร์ตี้ดี เวลลอปเม้นท์ จำกัด (SPD) บริษัท แม็กซ์ ฟิวเจอร์ จำกัด (MAX) และบริษัทภิรมย์พัฒน์ จำกัด (BRP) (รวมเรียกว่า SBF) และบริษัท สันติบุรี จำกัด (STB) ซึ่งประกอบธุรกิจโรงแรม สันติบุรี บีช รีสอร์ท กอล์ฟ แอนด์ สปา ซึ่ง SBF มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ บริษัทบุญรอด บริวเวอร์รี่ จำกัด ถือหุ้นโดยอ้อม 99% ผ่านกลุ่มบริษัท สิงห์ พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SPM) (ประกอบด้วย SPM และบริษัท SinghaProperty Management (Singapore) Pte.Ltd. ซึ่ง SPM ถือหุ้น 100%) และบริษัท สันติบุรี จำกัด มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ นายสันติ ภิรมย์ภักดี ถือหุ้น 99.99% โดย S จะตอบแทนการโอนกิจการทั้งหมดของ SBF และ STB ด้วยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท 4,162,352,331 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ในราคาหุ้นละ 1.87 บาทต่อหุ้น รวมมูลค่า 7,783.60ล้านบาท ให้แก่กลุ่ม SPM 2,932,405,807 หุ้น และนายสันติ ภิรมย์ภักดี 1,229,946,524 หุ้น

ทั้งนี้ ขนาดรายการของการได้มาซึ่งสินทรัพย์ข้างต้น 756.79% ตามเกณฑ์มูลค่าของหลักทรัพย์ที่บริษัทออกให้เพื่อเป็นสิ่งตอบแทนการได้มาของสินทรัพย์ซึ่งเข้าข่ายเป็นการจดทะเบียนโดยอ้อม (Backdoor Listing) ทั้งนี้ S ได้ยื่นคำขอให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พิจารณาคุณสมบัติในการเป็นบริษัทจดทะเบียนเนื่องจาก S ได้ดำเนินการตามมติผู้ถือหุ้นโดยรับ โอนหุ้น SBF และ STB และออกหุ้นเพิ่มทุนให้แก่กลุ่ม SPM และนายสันติ ภิรมย์ภักดีแล้ว พร้อมทั้งได้ดำเนินการตามเงื่อนไขการรับหลักทรัพย์ โดยกลุ่ม SPM และนายสันติ ภิรมย์ภักดีได้นำหุ้นสามัญเพิ่มทุน 2,289,293,783 หุ้น มานำฝากไว้ที่บริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด แล้ว (Silent Period)

ตลท. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า S มีคุณสมบัติครบถ้วนในการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ไทย (SET) ต่อไป และเห็นควรกำหนดให้หุ้นเพิ่มทุนของบริษัทเริ่มทำการซื้อขายได้ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน 57 เป็นต้นไป



กำลังโหลดความคิดเห็น