xs
xsm
sm
md
lg

“อี ฟอร์ แอล เอม” ปิดดีลซื้อหุ้น “วุฒิศักดิ์คลินิก” 4.5 พันล. เมินเพิ่มทุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“อี ฟอร์ แอล เอม” ปิดดีลซื้อหุ้น “วุฒิศักดิ์คลินิก” ผู้บริหารเผยบอร์ดไฟเขียวตั้งบริษัทย่อยเข้าถือหุ้น “วุฒิศักดิ์คลินิกอินเตอร์กรุ๊ป” ร่วมกับพันธมิตร มูลค่าลงทุนรวม 4.5 พันล้านบาท เตรียมนำวาระเข้าสู่การประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นวันที่ 22 ต.ค.นี้ มั่นใจศักยภาพ “วุฒิศักดิ์ คลินิก” โดดเด่น มีสาขาครอบคลุม 120 สาขา แถมยังมีแฟรนไชส์ในประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมผงาดรับเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ดันรายได้ธุรกิจความงามโตควบคู่ธุรกิจหลักนำเข้าและจำหน่ายอุปกรณ์ และเครื่องมือแพทย์

นายธีรวุทธิ์ ปางวิรุฬห์รักข์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORLเปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าซื้อหุ้นของบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์ กรุ๊ป จํากัด (WCIG) ซึ่งประกอบธุรกิจให้คําปรึกษา และตรวจรักษาปัญหาด้านผิวพรรณ และลดกระชบสัดส่วนทั้ง 100% ผ่านบริษัทย่อยที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ ด้วยมูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 3,500 ล้านบาท โดยบริษัทจะเข้าถือหุ้นในบริษัทย่อยใน 60% ส่วนที่เหลืออีก 40% จะเป็นการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายเดิม คือ นายณกรณ์ กรณ์หิรัญ นายพลภัทร จันทร์วิเมลือง และนายวุฒิศักดิ์ ลิ่มพานิช โดยถือหุ้นบริษัทย่อยในสัดส่วน 25% และอีก 15% ถือหุ้นโดยกองทุนซึ่งจัดตั้งและบริหารโดย Solaris Asset Management Company Limited

สำหรับบริษัทย่อยที่จะไปลงทุนซื้อบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์ กรุ๊ป จํากัดนั้น จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วรวมส่วนเกินทุนเป็นเงินทั้งสิ้น 2,500 ล้านบาท ซึ่งบริษัทถือหุ้น 60% ต้องใช้เงินลงทุน 1,500 ล้านบาท โดยเงินส่วนนี้บริษัทจะกู้เงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศ ไม่จำเป็นต้องมีการเพิ่มทุน และ/หรือ ดำเนินการอื่นใดที่ส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น EFORL ในปัจจุบันเลย เนื่องจาก EFORL เป็นบริษัทที่ไม่มีภาระหนี้สิน และอยู่ในข่ายที่สถาบันการเงินให้การสนับสนุนได้ ดังนั้น จึงเป็นนวัตกรรมการซื้อขายกิจการรูปแบบใหม่ที่ทันสมัยสำหรับตลาดทุนไทย ที่ไม่ทำให้เกิดผลกระทบ Dilution Effect ต่อส่วนของผู้ถือหุ้น และยังเป็นผลดีทำให้ EFORL ได้ธุรกิจเข้ามาเพิ่มเป็นการสร้างการเติบโต สร้างความแข็งแกร่งให้แก่บริษัท ทั้งในด้านทรัพย์สินและรายได้ ตลอดจนการรุกเข้าสู่ธุรกิจที่มีอัตราการเจริญเติบโตสูง

โดยบริษัทย่อยจะเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดในสัดส่วน 100% จากผู้ถือหุ้นเดิมของ WCIG โดยจํานวนเงินที่ใช้สําหรับการเข้าซื้อหุ้น WCIG ทั้งหมด จํานวนรวม 153,395 หุ้น รวมเป็นเงินประมาณ 3,500 ล้านบาท นอกจากนั้น บริษัทย่อยจะให้ WCIG กู้ยืมเงินในวงเงิน 1,000 ล้านบาท เพื่อให้ WCIG นําไปจ่ายชําระคืนหนี้เงินกู้ยืมทั้งหมดให้แก่ Wise Thai Company Limited ซึ่งทั้งหมดรวมประมาณ 4,500 ล้านบาท

สำหรับแหล่งที่มาของเงินทุนในการดำเนินการครั้งนี้ บริษัทย่อยจะใช้แหล่งเงินมาจากส่วนของทุนและจากการกู้ยืมเงิน โดยในส่วนของทุนบริษัทจะร่วมลงทุนกับผู้ร่วมลงทุนรายอื่น ด้วยเงินทุนชำระรวมส่วนเกินทุน 2,500 ล้านบาท ดังที่กล่าวในข้างต้น นอกจากนี้ บริษัทย่อยจะกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในประเทศเป็นเงินรวม 2,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม บริษัทจะประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2557 ในวันที่ 22 ตุลาคม 57 เพื่อขออนุมัติดำเนินการดังกล่าว

ทั้งนี้ WCIG ประกอบกิจการสถานพยาบาลประเภทคลินิกเวชกรรม ไม่รับผู้ป่วยไว้ค้างคืน โดยเน้นให้บริการคําปรึกษา และตรวจรักษาปัญหาด้านผิวพรรณและลดกระชับสัดส่วนภายใต้ชื่อ “วุฒิศักดิ์คลินิก” มีสาขารวม 120 สาขา ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด นอกจากนี้ ยังมีการให้บริการในลักษณะ Franchise ในประเทศ สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม และพม่า รวม 11 สาขา

“การได้มาซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทในครั้งนี้ จะช่วยให้ธุรกิจของ EFORL ครอบคลุมทั้งด้านสุขภาพและความงาม โดยธุรกิจหลักยังคงเป็นการนำเข้า และจำหน่ายอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ และขณะนี้ธุรกิจด้านความงามก็จะมาจาก That’so ซึ่งเป็นเครื่องสำอาง และเครื่องมือที่มีนวัตกรรมจากอิตาลี ที่ทำให้เกิดความสวยงามโดยปราศจากความเจ็บปวดที่แตกต่างจากการศัลยกรรม โดยธุรกิจนี้จะเติบโตควบคู่ไปกับการลงทุนใน WCIG ได้อย่างลงตัว และเป็นธุรกิจที่สามารถเติบโตไปยังภูมิอาเซียนได้ในอนาคต” นายธีรวุทธิ์ กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม กล่าวอีกว่า การเข้าลงทุนใน บริษัท วุฒิศักดิ์คลินิกอินเตอร์กรุ๊ป จํากัด (WCIG) บริษัทจะได้รับประโยชน์จากการขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และส่งเสริมกัน ซึ่งจะทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น เริ่มตั้งแต่ผู้ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ไปจนถึงผู้เข้ารับบริการเสริมความงาม ขณะเดียวกัน ยังช่วยสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นของกลุ่มบริษัทด้วยการประสานงาน และใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ร่วมกันเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการเพิ่มรายได้ และอัตราผลตอบแทนที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่มั่นคง และเพิ่มกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในระยะยาว


กำลังโหลดความคิดเห็น