บมจ.เด็มโก้ ประกาศรุกพลังงานทดแทนทั้งใน-ต่างประเทศในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ลั่นพร้อมลุยโครงการโซลาร์ฟาร์ม ตามนโยบายของ คสช.คาดจะได้ส่วนแบ่งไม่ต่ำกว่า 10-15% ของมูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้น 8.6 หมื่นล้านบาท พร้อมเตรียมสรุปแผนลงทุนโรงไฟฟ้าขยะกับพันธมิตรต่างชาติปลายปีนี้ ขณะที่แผนลงทุนระบบสาธารณูปโภคในลาวผ่านบริษัทลูก “เด็มโก้ เดอร์ลาว” คาดเริ่มมีความชัดเจนในช่วงไตรมาส 3/57 ด้านผู้บริหาร “พงษ์ศักดิ์ ศิริคุปต์” พร้อมเร่งงานในมือที่มีกว่า 6,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลังไม่ต่ำกว่า 3,500 ล้านบาท ดันรายได้รวมทั้งปีแตะ 5,200 ล้านบาท
นายพงษ์ศักดิ์ ศิริคุปต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) (DEMCO) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังคาดว่า จะขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรก ภายหลังสถานการณ์การเมืองคลี่คลาย และเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยรัฐบาลประกาศเดินหน้าลงทุนโครงการขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) ทำให้ความเชื่อมั่นการบริโภค การลงทุนของภาคเอกชนเริ่มกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ชะลอการตัดสินใจลงทุนในช่วงก่อนหน้า โดยบริษัทเตรียมเร่งทำงานที่มีอยู่ในมือ (Backlog) มูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท เพื่อชดเชยความล่าช้าของงานที่เลื่อนประมูลออกไปจากการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีคำสั่งถึงหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่มีการลงทุนในโครงการเกิน 100 ล้านบาท จะต้องรายงานให้คณะ คสช.ทราบ
“ในครึ่งปีหลัง บริษัทจะรับรู้รายได้จากงานที่มีอยู่ในมือไม่น้อยกว่า 3,500 ล้านบาท โดยมาจากงานรับเหมา 3,200 ล้านบาท งานผลิตและจำหน่ายเสาโครงเหล็กอีก 300 ล้านบาท เมื่อรวมรายได้ในครึ่งปีแรก 1,761 ล้านบาท จะทำให้รายได้รวมทั้งปีอยู่ที่ 5,200 ล้านบาท” นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทได้เตรียมความพร้อมรองรับงานพลังงานทดแทนตามนโยบายของ คสช.และแผนพัฒนาระบบไฟฟ้า (PDP) โดยภาครัฐจะมีการเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ จากโครงการที่ค้างดำเนินการ 576 เมกกะวัต โซลาร์ฟาร์มสำหรับหน่วยงานและสหกรณ์การเกษตร 800 เมกกะวัต โซลาร์รูฟท็อป 69 เมกกะวัต ซึ่งโครงการดังกล่าวมีมูลค่ารวมกันมากกว่า 86,000 ล้านบาท บริษัทในฐานะผู้รับเหมาด้านพลังงานทดแทนรายใหญ่คาดว่า จะได้รับงานไม่น้อยกว่า 10-15% หรือคิดเป็นวงเงินประมาณ 8,000- 10,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในช่วง 6-12 เดือน ข้างหน้า บริษัทจะมีการพัฒนาโรงไฟฟ้าขยะ ซึ่งได้มีการร่วมมือกับกลุ่มผู้ประกอบการเครื่องจักรระบบผลิตไฟฟ้าจากเศษวัสดุ Waste to Energy เพื่อขยายตลาดการผลิตไฟฟ้าด้วยขยะในไทย โดยในช่วงที่ผ่านมา ได้เริ่มนำเสนอเทคโนโลยีให้กับหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนที่มีโอกาสเข้าถึงแหล่งขยะแล้ว 5 ราย อยู่ระหว่างออกแบบโครงการเพื่อประเมินมูลค่าการลงทุน โดย 1 ใน 2 ราย อยู่ระหว่างศึกษาโครงสร้างการลงทุนรวมถึงเจรจาหาแหล่งเงินกู้ ซึ่งคาดว่า จะได้ข้อสรุปภายในปลายปีนี้ และเริ่มก่อสร้างในปี 2558
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนของความคืบหน้าการลงทุนโครงการสาธารณูปโภคในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งล่าสุดได้มีการจัดตั้ง บริษัท เด็มโก้ เดอร์ลาว ขึ้น คาดว่า ประมาณปลายไตรมาส 3 ของปีนี้จะมีความชัดเจนในการลงทุนระบบสาธารณูปโภคในประเทศลาว ซึ่งโดยลักษณะของโครงการก็จะสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอให้บริษัทในรูปแบบเดียวกับโรงไฟฟ้า
จากแนวโน้มการขยายตัวจากงานด้านพลังงานทดแทน การขยายธุรกิจไปสู่การผลิตไฟฟ้าด้วยขยะ รวมถึงการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศล้วนสร้างความมั่นใจที่จะส่งผลให้บริษัทเติบโตได้ในระยะยาว
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทมีรายได้รวม 1,761.43 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจากงบการเงินรวม 130.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80.87 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 49.86 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 162.19%
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทยังมีมติปันผลในอัตราหุ้นละ 0.125 บาท จากผลประกอบการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-30 มิถุนายน 2557 โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 28 สิงหาคม 2557 ที่ผ่านมา และให้รวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 ของ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 29 สิงหาคม 2557 กำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 11 กันยายน 2557 โดยการจ่ายเงินปันผลในครั้งนี้คิดเป็นสัดส่วน 53.4% ของผลประกอบการครึ่งปีแรก สูงกว่านโยบายที่บริษัทกำหนดให้จ่ายเงินปันผล 40% ของกำไร
นายพงษ์ศักดิ์ ศิริคุปต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) (DEMCO) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังคาดว่า จะขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรก ภายหลังสถานการณ์การเมืองคลี่คลาย และเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยรัฐบาลประกาศเดินหน้าลงทุนโครงการขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) ทำให้ความเชื่อมั่นการบริโภค การลงทุนของภาคเอกชนเริ่มกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ชะลอการตัดสินใจลงทุนในช่วงก่อนหน้า โดยบริษัทเตรียมเร่งทำงานที่มีอยู่ในมือ (Backlog) มูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท เพื่อชดเชยความล่าช้าของงานที่เลื่อนประมูลออกไปจากการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีคำสั่งถึงหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่มีการลงทุนในโครงการเกิน 100 ล้านบาท จะต้องรายงานให้คณะ คสช.ทราบ
“ในครึ่งปีหลัง บริษัทจะรับรู้รายได้จากงานที่มีอยู่ในมือไม่น้อยกว่า 3,500 ล้านบาท โดยมาจากงานรับเหมา 3,200 ล้านบาท งานผลิตและจำหน่ายเสาโครงเหล็กอีก 300 ล้านบาท เมื่อรวมรายได้ในครึ่งปีแรก 1,761 ล้านบาท จะทำให้รายได้รวมทั้งปีอยู่ที่ 5,200 ล้านบาท” นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทได้เตรียมความพร้อมรองรับงานพลังงานทดแทนตามนโยบายของ คสช.และแผนพัฒนาระบบไฟฟ้า (PDP) โดยภาครัฐจะมีการเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ จากโครงการที่ค้างดำเนินการ 576 เมกกะวัต โซลาร์ฟาร์มสำหรับหน่วยงานและสหกรณ์การเกษตร 800 เมกกะวัต โซลาร์รูฟท็อป 69 เมกกะวัต ซึ่งโครงการดังกล่าวมีมูลค่ารวมกันมากกว่า 86,000 ล้านบาท บริษัทในฐานะผู้รับเหมาด้านพลังงานทดแทนรายใหญ่คาดว่า จะได้รับงานไม่น้อยกว่า 10-15% หรือคิดเป็นวงเงินประมาณ 8,000- 10,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในช่วง 6-12 เดือน ข้างหน้า บริษัทจะมีการพัฒนาโรงไฟฟ้าขยะ ซึ่งได้มีการร่วมมือกับกลุ่มผู้ประกอบการเครื่องจักรระบบผลิตไฟฟ้าจากเศษวัสดุ Waste to Energy เพื่อขยายตลาดการผลิตไฟฟ้าด้วยขยะในไทย โดยในช่วงที่ผ่านมา ได้เริ่มนำเสนอเทคโนโลยีให้กับหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนที่มีโอกาสเข้าถึงแหล่งขยะแล้ว 5 ราย อยู่ระหว่างออกแบบโครงการเพื่อประเมินมูลค่าการลงทุน โดย 1 ใน 2 ราย อยู่ระหว่างศึกษาโครงสร้างการลงทุนรวมถึงเจรจาหาแหล่งเงินกู้ ซึ่งคาดว่า จะได้ข้อสรุปภายในปลายปีนี้ และเริ่มก่อสร้างในปี 2558
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนของความคืบหน้าการลงทุนโครงการสาธารณูปโภคในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งล่าสุดได้มีการจัดตั้ง บริษัท เด็มโก้ เดอร์ลาว ขึ้น คาดว่า ประมาณปลายไตรมาส 3 ของปีนี้จะมีความชัดเจนในการลงทุนระบบสาธารณูปโภคในประเทศลาว ซึ่งโดยลักษณะของโครงการก็จะสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอให้บริษัทในรูปแบบเดียวกับโรงไฟฟ้า
จากแนวโน้มการขยายตัวจากงานด้านพลังงานทดแทน การขยายธุรกิจไปสู่การผลิตไฟฟ้าด้วยขยะ รวมถึงการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศล้วนสร้างความมั่นใจที่จะส่งผลให้บริษัทเติบโตได้ในระยะยาว
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทมีรายได้รวม 1,761.43 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจากงบการเงินรวม 130.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80.87 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 49.86 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 162.19%
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทยังมีมติปันผลในอัตราหุ้นละ 0.125 บาท จากผลประกอบการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-30 มิถุนายน 2557 โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 28 สิงหาคม 2557 ที่ผ่านมา และให้รวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 ของ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 29 สิงหาคม 2557 กำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 11 กันยายน 2557 โดยการจ่ายเงินปันผลในครั้งนี้คิดเป็นสัดส่วน 53.4% ของผลประกอบการครึ่งปีแรก สูงกว่านโยบายที่บริษัทกำหนดให้จ่ายเงินปันผล 40% ของกำไร