DEMCO สัญญาณไตรมาสดี เหตุรับปันผลจากโครงการห้วยบง 2 และ 3 มูลค่า 116 ล้านบาท คาดรับรู้งานในมือ กว่า 4,756 ล้านบาท และรอเซ็นสัญญาอีก 200 ล้าน บาท ตั้งเป้าปีนี้ได้งานไม่ต่ำกว่า 5,500 ล้านบาท เผยเตรียมก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก 1 ชุมชน 1 เมกกะวัตต์ จ่อรุกธุรกิจพลังงานทดแทนในต่างประเทศทั้งพม่าและลาว ส่วนบริษัทลูกคาดเข้าตลาดหุ้นปีหน้า
นายพงษ์ศักดิ์ ศิริคุปต์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. เด็มโก้ หรือ DEMCO กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปีนี้คาดว่ารายได้จากงานขาย และโรงงาน รวมถึงรายได้งานบริการ จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ไม่น้อยกว่าไตรมาส 1 ที่ผ่านมาส่วนกำไรสุทธิจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการที่บริษัทได้รับเงินปันผลจากการลงทุนโครงการพลังงานลม ห้วยบง 2 และ 3 จำนวน 116 ล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่รวมกำไรจากการดำเนินงานและส่วนแบ่งกำไรจากโครงการพลังงานลม ในไตรมาส 2 ซึ่งคาดว่าจะไม่น้อยกว่าไตรมาสแรกที่ผ่านมา โดยปัจจุบันงานในมือ (backlog) มีจำนวน 4,756 ล้านบาท และมีงานประมูลที่อยู่ระหว่างรอลงนามสัญญา 285 ล้านบาท แบ่งเป็นงานวิศวกรรมไฟฟ้า 2,059 ล้านบาท พลังงานทดแทน 2,114 ล้านบาท และระบบไฟฟ้าเครื่องกล 298 ล้านบาท
“แผนการดำเนินงานในไตรมาส 2 และในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้บริษัทจะเร่งการทำงานที่ลงนามสัญญาไปแล้วและการประมูลงานในตลาดงานที่ถนัดทั้งจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)การไฟฟ้าภูมิภาค(กฟภ.)การไฟฟ้านครหลวง ( กฟน.)ผู้ประกอบการ IPP SPP ผู้ลงทุนโครงการพลังงานทดแทน ตลอดจนถึงการขยายตลาดไปประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะพม่าและลาว”
อย่างไรก็ดีในปีนี้บริษัทจะเร่งทำงานที่มีอยู่ในมือ และตั้งเป้าหมายที่จะรับงานใหม่เพิ่ม 5,500 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงานวิศวกรรมไฟฟ้า 2,700 ล้านบาท พลังงานทดแทน 2,500 ล้านบาท และงานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล 300 ล้านบาท โดยการขยายตัวของงานวิศวกรรมไฟฟ้า มาจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งมีโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าภาคตะวันวันออกเฉียงเหนือ เพื่อรองรับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม และการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าภาคใต้ เพื่อเสริมความมั่นคงของระบบ ซึ่งในปีนี้จะมีการประมูลไม่น้อยกว่า 8,000-10,000 ล้านบาท ส่วนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จะมีงบประมูลงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้า สายส่งแรงสูงและงานปรับปรุงระบบไฟฟ้าใต้ดินในพื้นที่เมืองใหญ่มูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 6,000 ล้านบาท
สำหรับงานที่มีความสำคัญในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นโครงการก่อสร้างโซล่า 1 ชุมชน 1 เมกกะวัตต์ ที่คาดว่าจะได้รับการผลักดันให้เกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งขนาดการลงทุนทั้งหมดจะเป็นมูลค่ามากกว่า 48,000 ล้านบาท ส่วนงานเสาเครือข่ายสื่อสารระบบ 3G ในปีนี้มีความชัดเจนที่จะมีการลงทุนเสาโทรคมนาคมจากทั้ง 3 ค่าย ประมาณ 4,000 ต้น มูลค่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากโรงงานในปีนี้ไม่น้อยกว่า 300-400 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์ในการเปิดตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะที่ลาว และพม่า ซึ่งมีการเติบโตตามการลงทุนของประเทศเพื่อนบ้าน และคาดว่าจะมีงานอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้ความสำคัญกับการลงทุนโครงการพลังงานทดแทน ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม Bio-Mass และ Bio-GAS
“จากผลดำเนินงานโครงการพลังงานลมห้วยบง 2 - 3 ที่ DEMCO เข้าถือหุ้นอยู่ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของคณะกรรมการและผู้ถือหุ้นที่อนุมัติให้บริษัทเข้าลงทุน โดยบริษัทพยายามหาโอกาสเข้าลงทุนโครงการพลังงานทดแทนอื่นๆ เริ่มจากโซล่ารูฟ 2.3 เมกะวัตต์ และโซล่าฟาร์ม 0.75 เมกะวัตต์ รวมทั้งได้ร่วมมือกับบริษัทสเปน เข้าประมูลงานสายส่ง 500 เควี กับ กฟผ. และศึกษาโครงการโรงไฟฟ้าขยะในพื้นที่ภาคกลางจำนวน 2-3 โครงการ”
ขณะเดียวกันผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ที่ผ่านมาบริษัทฯมีรายได้รวม 811.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 125.8 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 685.80 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 18.35% โดยมีกำไรสุทธิ 72.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64.28 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 7.83 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 820.95%
นายพงษ์ศักดิ์ ศิริคุปต์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. เด็มโก้ หรือ DEMCO กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปีนี้คาดว่ารายได้จากงานขาย และโรงงาน รวมถึงรายได้งานบริการ จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ไม่น้อยกว่าไตรมาส 1 ที่ผ่านมาส่วนกำไรสุทธิจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการที่บริษัทได้รับเงินปันผลจากการลงทุนโครงการพลังงานลม ห้วยบง 2 และ 3 จำนวน 116 ล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่รวมกำไรจากการดำเนินงานและส่วนแบ่งกำไรจากโครงการพลังงานลม ในไตรมาส 2 ซึ่งคาดว่าจะไม่น้อยกว่าไตรมาสแรกที่ผ่านมา โดยปัจจุบันงานในมือ (backlog) มีจำนวน 4,756 ล้านบาท และมีงานประมูลที่อยู่ระหว่างรอลงนามสัญญา 285 ล้านบาท แบ่งเป็นงานวิศวกรรมไฟฟ้า 2,059 ล้านบาท พลังงานทดแทน 2,114 ล้านบาท และระบบไฟฟ้าเครื่องกล 298 ล้านบาท
“แผนการดำเนินงานในไตรมาส 2 และในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้บริษัทจะเร่งการทำงานที่ลงนามสัญญาไปแล้วและการประมูลงานในตลาดงานที่ถนัดทั้งจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)การไฟฟ้าภูมิภาค(กฟภ.)การไฟฟ้านครหลวง ( กฟน.)ผู้ประกอบการ IPP SPP ผู้ลงทุนโครงการพลังงานทดแทน ตลอดจนถึงการขยายตลาดไปประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะพม่าและลาว”
อย่างไรก็ดีในปีนี้บริษัทจะเร่งทำงานที่มีอยู่ในมือ และตั้งเป้าหมายที่จะรับงานใหม่เพิ่ม 5,500 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงานวิศวกรรมไฟฟ้า 2,700 ล้านบาท พลังงานทดแทน 2,500 ล้านบาท และงานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล 300 ล้านบาท โดยการขยายตัวของงานวิศวกรรมไฟฟ้า มาจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งมีโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าภาคตะวันวันออกเฉียงเหนือ เพื่อรองรับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม และการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าภาคใต้ เพื่อเสริมความมั่นคงของระบบ ซึ่งในปีนี้จะมีการประมูลไม่น้อยกว่า 8,000-10,000 ล้านบาท ส่วนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จะมีงบประมูลงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้า สายส่งแรงสูงและงานปรับปรุงระบบไฟฟ้าใต้ดินในพื้นที่เมืองใหญ่มูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 6,000 ล้านบาท
สำหรับงานที่มีความสำคัญในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นโครงการก่อสร้างโซล่า 1 ชุมชน 1 เมกกะวัตต์ ที่คาดว่าจะได้รับการผลักดันให้เกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งขนาดการลงทุนทั้งหมดจะเป็นมูลค่ามากกว่า 48,000 ล้านบาท ส่วนงานเสาเครือข่ายสื่อสารระบบ 3G ในปีนี้มีความชัดเจนที่จะมีการลงทุนเสาโทรคมนาคมจากทั้ง 3 ค่าย ประมาณ 4,000 ต้น มูลค่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากโรงงานในปีนี้ไม่น้อยกว่า 300-400 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์ในการเปิดตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะที่ลาว และพม่า ซึ่งมีการเติบโตตามการลงทุนของประเทศเพื่อนบ้าน และคาดว่าจะมีงานอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้ความสำคัญกับการลงทุนโครงการพลังงานทดแทน ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม Bio-Mass และ Bio-GAS
“จากผลดำเนินงานโครงการพลังงานลมห้วยบง 2 - 3 ที่ DEMCO เข้าถือหุ้นอยู่ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของคณะกรรมการและผู้ถือหุ้นที่อนุมัติให้บริษัทเข้าลงทุน โดยบริษัทพยายามหาโอกาสเข้าลงทุนโครงการพลังงานทดแทนอื่นๆ เริ่มจากโซล่ารูฟ 2.3 เมกะวัตต์ และโซล่าฟาร์ม 0.75 เมกะวัตต์ รวมทั้งได้ร่วมมือกับบริษัทสเปน เข้าประมูลงานสายส่ง 500 เควี กับ กฟผ. และศึกษาโครงการโรงไฟฟ้าขยะในพื้นที่ภาคกลางจำนวน 2-3 โครงการ”
ขณะเดียวกันผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ที่ผ่านมาบริษัทฯมีรายได้รวม 811.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 125.8 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 685.80 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 18.35% โดยมีกำไรสุทธิ 72.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64.28 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 7.83 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 820.95%
