บมจ.เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป เผยครึ่งปีแรกรายได้หดจากสถานการณ์การเมือง ทำธุรกิจสิ่งพิมพ์วูบ ปรับเป้าเติบโตลงเหลือเพียง 10% จากเดิมที่ตั้งไว้ที่ 5-15% ฟุ้งบริษัทฯ มีศักยภาพเหนือคู่แข่ง เพราะประกอบธุรกิจหลากหลาย สามารถสร้างรายได้จากทุกสื่อ
นางสาวดวงกมล โชตะนา กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป หรือ NMG กล่าวว่า บริษัทฯ ปรับลดเป้าหมายรายได้ปีนี้เหลือโต 0-10% จากเดิมคาดโต 5-15% แม้สถานการณ์การเมืองจะคลี่คลายแต่เศรษฐกิจฟื้นตัวไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่ภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีหลังจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เทียบกับในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ซึ่งในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้เป็นไตรมาสแรกที่บริษัทฯ เริ่มธุรกิจทีวีดิจิตอล ออกอากาศในช่อง NOW26 และช่อง NATION22 ซึ่งจะรับรู้รายได้ที่เติบโตขึ้นได้อย่างชัดเจน และสามารถรักษาเสถียรภาพของรายได้ไว้ ส่วนกำไรขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการต้นทุนของบริษัทฯ ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เมื่อเทียบกับธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ ที่มีการชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสที่ 1-2 ที่ผ่านมา ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีกำไรที่ปรับตัวลดลง แต่ยังมีความสามารถในการทำกำไรอยู่ ซึ่งสอดคล้องกับโครงสร้างบริษัท ที่เข้าสู่ธุรกิจบรอดแคสติ้งมากขึ้น โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าว่าในไตรมาสที่ 3-4 เมื่อภาพรวมเศรษฐกิจโดยรวมเริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจากใช้จ่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ที่เห็นได้อย่างชัดเจนจากสถาบันการเงิน อสังหาฯ ที่มีโครงการกระตุ้นตลาดผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง
“ไตรมาสที่ 3-4 เป็นไตรมาสที่เติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเทียบกับไตรมาสที่ 1-2 เพราะในช่วงปลายปีจะเป็นช่วงเทศกาลที่มีการจับจ่ายใช้สอยสูง ซึ่งบริษัทคาดหมายว่า ในครึ่งปีหลังบริษัทจะมีรายได้ที่ชัดเจนขึ้นสามารถชดเชยรายได้จากช่วงต้นปี อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ คาดการณ์ว่า ธุรกิจบรอดแคสติ้งจะเริ่มรับรู้รายได้อย่างชัดเจนได้ในต้นปีหน้า ขณะที่สัดส่วนรายได้จากค่าโฆษณาของธุรกิจสื่อทีวีมาร์จินในสัดส่วนที่สูงขึ้นกว่าสื่อสิ่งพิมพ์ โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัทฯ ในปีนี้ จะมาจากธุรกิจสิ่งพิมพ์ 49% ซึ่งลดลงจากปีก่อนที่มีสัดสวนรายได้ 57% ขณะที่ธุรกิจบรอดแคสต์สัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 42% จากปีก่อนอยู่ที่ 25% ซึ่งมองว่า ธุรกิจบรอดแคสต์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน โดยรายได้จากโฆษณาจากธุรกิจโทรทัศน์ระบบดิจิตอลทั้ง 2 ช่อง คือ NATION 22 และ NOW 26 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และบริษัทฯ ยังจะมีการผลิตสารคดีเพิ่มเข้ามา ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมการผลิตสารคดีเพื่อฉายในช่องและขายลิขสิทธิ์ให้กับช่องอื่น เพื่อจะเป็นการเพิ่มรายได้เข้ามาอีกทางหนึ่ง”
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนรายได้จากค่าโฆษณามีการปรับตัวลดลง หากเทียบกับทั้งกลุ่มบรอดแคสติง เนื่องจากมีการขยายช่องฟรีทีวีจากเดิมเพียง 6 ช่อง เป็น 48 ช่อง แต่ทั้งนี้ กลับพบว่า รายได้ในกลุ่มทีวีระบบอนาล็อกปรับตัวลดลง แต่ไปเพิ่มในส่วนของทีวีดิจิตอลมากกว่า เนื่องจากอัตราค่าโฆษณาเปรียบเทียบกันในทีวีดิจิตอลจะมีราคาที่ถูกกว่ามาก ซึ่งการที่บริษัทฯ มีช่องทีวีจำนวน 2 ช่องทำให้มีความสามารถในการบริหารเวลา เพื่อทำรายได้เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนในเรื่องของการปรับเปลี่ยนเรียงลำดับช่องให้เหมือนกันทั้งระบบทีวีดิจิตอล DBVT2 (SET TOP BOX) และระบบดาวเทียม ตลอดจนถึงการแจกคูปองทีวีดิจิตอล คาดว่า จะได้ข้อสรุปชัดเจนจาก กสทช.ภายในเดือนตุลาคมนี้ ขณะที่ในส่วนของมหาวิทยาลัยเนชั่น คาดว่า จะถึงจุดคุ้มทุนได้ใน 2-3 ปีข้างหน้า โดยนักศึกษาที่เข้ามาเรียนจะเป็นกำลังสำคัญในอนาคตที่จะเข้ามาร่วมงานกับบริษัทฯ และในปัจจุบันนักศึกษาได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้วิธีการทำสื่อเพื่อให้มีความรู้ความสามารถเพิ่มมากขึ้น
“ภาพรวมอุตสาหกรรมทีวีดิจิตอลเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งมีการแข่งกันทั้งผู้ที่อยู่ในตลาดสื่อทีวีมาก่อน และผู้ที่เริ่มเข้ามาใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีข้อได้เปรียบเนื่องจากประกอบธุรกิจที่มีความหลากหลาย และมีช่องทางทำให้มีความได้เปรียบคู่แข่ง ตลอดจนถึงการนำเสนอเนื้อหาที่มีความแตกต่างมีคุณภาพและถูกใจผู้ชม”