xs
xsm
sm
md
lg

แบงก์ ชี้ รบ.ใหม่ดันจีดีพีฟื้น-ห่วง 3 ปัจจัยถ่วง-แนะเร่งแก้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สำนักวิจัย ซีไอเอ็มบี ไทย ระบุ หลังเลือกนายกรัฐมนตรี-ตั้ง ครม.ช่วยหนุนเชื่อมั่น-เศรษฐกิจช่วงที่เหลือได้ แต่ไม่มากนัก เหตุมี 3 ปัจจัยเสี่ยงหลัก “หนี้ครัวเรือน-ส่งออก-ขาดแคลนแรงงาน” ถ่วง ฝากรัฐบาลใหม่สร้างความต่อเนื่องในโครงสร้างภาครัฐ

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า หลังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เสนอชื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 ส.ค.2557 สำนักวิจัยมองว่า หลังมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีและมีการนำเสนอนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ เศรษฐกิจไทยน่าจะสามารถฟื้นตัวได้ดี หลังจากที่หดตัว 0.1% ในช่วงครึ่งแรกของปี จากการที่รัฐบาลใหม่จะสามารถเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ลงทุนและผู้บริโภคได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ดี แม้เศรษฐกิจไทยจะสามารถฟื้นตัวได้ แต่ก็อาจไม่สามารถเร่งตัวได้แรงเช่นในอดีต เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจเปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งนี้ สำนักวิจัยมองว่ามีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยใน 3 ประเด็น คือ

1. ครัวเรือนไทยมีหนี้สูงขึ้นมาก โดยสัดส่วนหนี้ต่อ GDP พุ่งขึ้นเร็วจากราว 63% ปลายปี 2553 เป็น 82.3% ในปลายปี 2556 โดยหนี้ที่เร่งตัวสูงขึ้นส่งผลให้ภาคครัวเรือนเผชิญปัญหารายจ่ายเพื่อการชำระหนี้สูงขึ้น จึงเหลือเงินน้อยลงเพื่อการบริโภคสินค้าอื่นๆ ซึ่งมีผลให้การบริโภคภาคเอกชนที่มีสัดส่วนราว 50% ของ GDP ไม่อาจเติบโตได้ดีนักในอนาคต อีกทั้งหากอัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นจะยิ่งส่งผลต่อความสามารถในการใช้จ่ายของภาคเอกชนอีกด้วย หนทางลดความเสี่ยงคือ การสร้างค่านิยมการออมให้กับสังคม และสร้างทัศนคติการบริโภคอย่างพอเพียงตามความสามารถในการจ่าย นอกจากนี้ รัฐบาลใหม่ไม่ควรนำนโยบายประชานิยมมากระตุ้นการบริโภคที่เกินพอดีให้แก่ประชาชน

2. ภาคการส่งออกของไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่ไทยยังไม่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีให้สูงขึ้น และตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของความต้องการของตลาดโลกได้ เช่น ไทยยังพึ่งพิงการส่งออกสินค้าเครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ โดยเฉพาะ Hard Disk Drive ที่ความต้องการตลาดโลกหดตัว ทั้งนี้ หากนักลงทุนไทยได้รับการถ่ายโอนด้านเทคโนโลยีจากนักลงทุนต่างประเทศได้หรือมีการพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นเอง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ส่งออกไทยก้าวผ่านปัญหานี้ไปได้ แต่ก็มีคำถามคือ เราจะสามารถดึงดูด FDI ได้มากน้อยเพียงไร จึงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป นอกจากนี้ ภาครัฐควรให้การสนับสนุนให้ผู้ผลิตไทยเป็นหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานโลก (Global supply chain) ให้มากขึ้น เนื่องจากจะช่วยลดความเสี่ยงจากการที่ตลาดส่งออกในบางประเทศชะลอตัว เพราะหากส่งออกชิ้นส่วนเพื่อไปใช้ประกอบหรือเชื่อมโยงกับการส่งออกของประเทศปลายทางแล้ว จะช่วยให้การส่งออกไทยเติบโตไปกับตลาดโลกได้ดีขึ้น

และ 3. ปัญหาการขาดแคลนแรงงานเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในอนาคต สังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสัดส่วนคนในวัยแรงงานมีแนวโน้มจะลดลงต่อเนื่อง ซึ่งหากมีแรงงานลดลง เศรษฐกิจก็ไม่อาจเติบโตได้ดี ทั้งนี้ วิธีแก้ปัญหาคือการพยายามให้แรงงานที่มีอยู่สามารถผลิตสินค้าได้จำนวนมากขึ้น หรือการสร้างประสิทธิภาพของแรงงานให้สูงขึ้น ซึ่งจะมาพร้อมเทคโนโลยี การศึกษา และการลดต้นทุนการผลิตอื่นๆ

นายอมรเทพ กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะมีความเสี่ยง 3 ประการข้างต้น แต่ยังมีทางออกอยู่บ้าง นั่นคือ การลงทุนภาครัฐเพื่อลดต้นทุนการขนส่ง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่เอกชนไทย ซึ่งโครงการ 2.4 ล้านล้านบาท ที่มีการหยิบยกมาพูดกันนั้น น่าจะสามารถผลักดันให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้ หรือไม่เข้าสู่การชะลอตัวมากนักในอนาคต

“สิ่งที่อยากฝากให้แก่รัฐบาลใหม่ที่กำลังจะมีการจัดตั้งคือ ขอให้พยายามสร้างความเชื่อมั่นให้ได้ว่า โครงการลงทุนภาครัฐที่จะเกิดขึ้นนี้สามารถดำเนินต่อไปได้ในระยะยาว แม้สิ้นสุดยุค คสช.ไปแล้ว รัฐบาลใหม่ก็จะยังคงดำเนินการต่อเนื่องไปได้ ไม่มีการสะดุดหรือเปลี่ยนแปลงมากนัก เนื่องจากหากภาคเอกชนไม่มั่นใจว่า โครงการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้หรือปีหน้าจะสามารถมีความต่อเนื่องระยะยาวได้ เขาอาจไม่ลงทุนเต็มที่และโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตอย่างรวดเร็วก็อาจไม่บรรลุผลได้”
กำลังโหลดความคิดเห็น