นายปสันน สวัสดิ์บุรี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส แผนธุรกิจใหม่และวางแผนกลยุทธ์ บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR ระบุว่า บริษัทคงเป้าหมายรายได้เติบโตที่ 5% ขณะที่กำไรสุทธิจะดีกว่าปี 56 เล็กน้อย จากที่มีการรับรู้รายได้เข้ามามากขึ้น และมีการรับงานที่มีมาร์จินสูง โดยมองว่าผลประกอบการในไตรมาส 3 นี้น่าจะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมา และคาดว่าจะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน
“กำไรสุทธิปีนี้คาดว่า จะดีขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 58.36 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้เติบโตตามเป้าหมายที่ 5% จากปีก่อนที่มีรายได้ 6,955.69 ล้านบาท โดยมองว่าแนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังนี้จะดีกว่าครึ่งปีแรกหลังจากปัญหาการเมืองเริ่มคลี่คลาย รวมถึงการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่จะส่งผลให้มีงานภาครัฐเริ่มทยอยออกมามากขึ้น ทำให้บริษัทได้รับอานิสงส์ไปด้วย” นายปสันน กล่าว
ขณะนี้ บริษัทมีงานในมือหรือ backlog ราว 1.45 หมื่นล้านบาท คาดว่า จะรับรู้เป็นรายได้ภายในปีนี้ในสัดส่วนประมาณ 35% ของมูลค่างานทั้งหมด โดยหลักจะเป็นงานก่อสร้างโรงไฟฟ้า งานปรับปรุงอาคารของ กทม. งานปรับปรุงถนนที่ประเทศลาว งานก่อสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมที่ลาดกระบัง และงานขุดเจาะเหมืองถ่านหินให้กับโรงไฟฟ้าแม่เมาะในประเทศพม่า โดยบริษัทยังมีงานที่รอเข้าไปประมูลอีก 8 โครงการ แบ่งเป็นงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน มูลค่ารวม 7,200 ล้านบาท บริษัทคาดหวังได้รับงานราว 20-25%
สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ ขณะนี้บริษัทฯ ก็ได้มีการเตรียมเข้าประมูลงานในเวียดนามและศรีลังกา มูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท คาดว่า น่าจะรู้ผลในปี 2558 โดยที่เวียดนามจะเป็นงานสร้างระบบประตูน้ำ ส่วนที่ศรีลังกาจะเป็นงานวางระบบท่อน้ำ ซึ่งยังอยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะเข้าไปลงทุนเองหรือร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น นอกจากนี้ บริษัทยังสนใจลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำที่ประเทศลาว โดยคาดว่าจะเริ่มศึกษา รวมถึงได้ข้อสรุปเบื้องต้นภายในปีหน้า เนื่องจากบริษัทได้เข้าไปรับงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศดังกล่าวอยู่แล้ว ซึ่งเล็งเห็นว่าธุรกิจโรงไฟฟ้าในลาวมีโอกาสเติบโตค่อนข้างมาก ขณะที่บริษัทฯ มีความพร้อมในด้านการก่อสร้างและเงินทุนอยู่แล้ว
“ประเมินอัตรากำไรสุทธิทั้งปีน่าจะเพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 0.84% และอัตรากำไรขั้นต้นน่าจะทำได้ไม่ต่ำกว่า 7% จากปีก่อนอยู่ที่ 5.31% สาเหตุที่อัตรากำไรเพิ่มขึ้นมาจากบริษัทเลือกรับงานที่มีอัตรากำไร (มาร์จิน) สูง ประกอบกับภาวะการแข่งขันปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับในอดีต รวมถึงสามารถรับรู้รายได้จากอสังหาริมทรัพย์เข้ามาเพิ่มเติมบางส่วน” นายปสันน กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมองหาการลงทุนเพิ่ม โดยเฉพาะในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นการเข้าซื้ออาคารสำนักงานให้เช่าในนครย่างกุ้ง ประเทศพม่า โดยได้เตรียมเงินลงทุนไว้ประมาณ 200 ล้านบาท คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีหน้า
นายปสันน กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทปรับสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเป็น 10% ภายในปี 2559-2560 จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3% โดยมองว่าเป็นธุรกิจที่มีมาร์จินค่อนข้างสูง โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 20-30% ปัจจุบันบริษัทมีโครงการแนวราบอยู่ 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1,500 ล้านบาท โดยในปีหน้าจะเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่ อีก 1 โครงการ มูลค่าราว 150 ล้านบาท และยังคงมองหาโอกาสการซื้อที่ดินที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง
บริษัทเตรียมจำหน่ายหุ้นกู้ มูลค่า 1,500 ล้านบาท อายุ 3 ปี ในวันที่ 25-27 ส.ค.นี้ อัตราดอกเบี้ย 5.50% ต่อปี ซึ่งจะช่วยให้บริษัทลดต้นทุนดอกเบี้ยไปได้กว่า 2% เนื่องจากปัจจุบันมีหนี้กับสถาบันการเงินประมาณ 200 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 7.5%
การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินไปชำระหนี้ดังกล่าวทั้งหมด ส่วนที่เหลือจะใช้ลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 700 ล้านบาท สร้างโรงงานพรีแฟบ 165 ล้านบาท ใช้ลงทุนในพม่า 200 ล้านบาท ที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยมั่นใจว่าหุ้นกู้ที่ออกครั้งนี้จะขายได้ทั้งหมด โดยจากการสำรวจพบว่านักลงทุนและผู้ถือหุ้นมีความสนใจเป็นจำนวนมาก โดยมีผลตอบแทนที่ระดับ 5.50% ต่อปี ซึ่งถือว่าดึงดูดความสนใจลงทุนได้เป็นอย่างดี โดยอันดับเครดิตหุ้นกู้ของบริษัทฯ ที่ประเมินโดย ทริสต์เรตติ้ง อยู่ที่ BBB-