บจ.ใน mai มียอดขายไตรมาส 2 ปี 57 เพิ่ม 5.63% และคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้ที่ 21.06% แม้เผชิญแรงกดดันทางด้านค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหาร
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ใน mai จำนวน 97 บริษัท จาก 100 บริษัท (2 บริษัท ยังไม่ส่งงบการเงิน และ 1 บริษัทยังไม่ครบกำหนดส่งงบการเงิน) นำส่งงบการเงินไตรมาส 2 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2557 มียอดขายรวมอยู่ที่ 28,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1,520 ล้านบาท คิดเป็น 5.63% ต้นทุนขายเพิ่มขึ้น 5.07% อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 21.06% เพิ่มขึ้นจาก 20.64% ในขณะที่กำไรสุทธิโดยรวมลดลงจาก 872 ล้านบาท เหลือ 687 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้ มี บจ.ที่มีกำไรสุทธิ จำนวน 68 บริษัท คิดเป็น 70% ของ บจ.ที่นำส่งงบการเงิน
“ในไตรมาส 2 บจ. mai ยังคงเผชิญการชะลอตัว และความผันผวนของธุรกิจบางกลุ่มธุรกิจ เช่น กลุ่มธุรกิจทีวีดิจิตอล อยู่ระหว่างการลงทุนในช่วงต้น ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูง รวมถึงดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น ทำให้กำไรสุทธิรวมลดลง แต่อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสนี้ บจ.ใน mai เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยังคงมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 21.06% และ EBITDA หรือกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคายังคงเพิ่มขึ้น 14.27%” นายประพันธ์กล่าว
สำหรับงวด 6 เดือน ปี 2557 บจ. mai มียอดขาย 57,549 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4,120 ล้านบาท คิดเป็น 7.71% เนื่องจากต้นทุนขายโดยรวมเพิ่มขึ้น 10.37% ทำให้มีกำไรขั้นต้นลดลงจาก 22.74% มาอยู่ที่ 20.83% และกำไรสุทธิรวมลดลงจาก 2,913 ล้านบาท เหลือ 1,965 ล้านบาท เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากอัตรากำไรสุทธิลดลงจาก 5.45% เหลือ 3.41% จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงขึ้น 788 ล้านบาท คิดเป็น 11.73%
ทั้งนี้ จากการสำรวจผลการดำเนินงานของ บจ.ในตลาดหลักทรัพย์ mai พบว่า 5 บริษัทที่มีกำไรสุทธิสูงสุดในไตรมาสนี้ ได้แก่ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) มีกำไรสุทธิ 408 ล้านบาท บมจ.บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป (BROOK) 73 ล้านบาท บมจ.ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ (JUBILE) 63 ล้านบาท บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) 62 ล้านบาท และ บมจ.โรงพยาบาลไทยนครินทร์ (TNH) 55 ล้านบาท ตามลำดับ
ปัจจุบันมี บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ mai 101 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 19 สิงหาคม 2557) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 609.99 จุด เพิ่มขึ้น 70.96 % จากต้นปี มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมอยู่ที่ 289,128 ล้านบาท มูลค่าซื้อ ขายเฉลี่ย 1,829 ล้านบาทต่อวัน
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ใน mai จำนวน 97 บริษัท จาก 100 บริษัท (2 บริษัท ยังไม่ส่งงบการเงิน และ 1 บริษัทยังไม่ครบกำหนดส่งงบการเงิน) นำส่งงบการเงินไตรมาส 2 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2557 มียอดขายรวมอยู่ที่ 28,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1,520 ล้านบาท คิดเป็น 5.63% ต้นทุนขายเพิ่มขึ้น 5.07% อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 21.06% เพิ่มขึ้นจาก 20.64% ในขณะที่กำไรสุทธิโดยรวมลดลงจาก 872 ล้านบาท เหลือ 687 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้ มี บจ.ที่มีกำไรสุทธิ จำนวน 68 บริษัท คิดเป็น 70% ของ บจ.ที่นำส่งงบการเงิน
“ในไตรมาส 2 บจ. mai ยังคงเผชิญการชะลอตัว และความผันผวนของธุรกิจบางกลุ่มธุรกิจ เช่น กลุ่มธุรกิจทีวีดิจิตอล อยู่ระหว่างการลงทุนในช่วงต้น ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูง รวมถึงดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น ทำให้กำไรสุทธิรวมลดลง แต่อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสนี้ บจ.ใน mai เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยังคงมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 21.06% และ EBITDA หรือกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคายังคงเพิ่มขึ้น 14.27%” นายประพันธ์กล่าว
สำหรับงวด 6 เดือน ปี 2557 บจ. mai มียอดขาย 57,549 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4,120 ล้านบาท คิดเป็น 7.71% เนื่องจากต้นทุนขายโดยรวมเพิ่มขึ้น 10.37% ทำให้มีกำไรขั้นต้นลดลงจาก 22.74% มาอยู่ที่ 20.83% และกำไรสุทธิรวมลดลงจาก 2,913 ล้านบาท เหลือ 1,965 ล้านบาท เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากอัตรากำไรสุทธิลดลงจาก 5.45% เหลือ 3.41% จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงขึ้น 788 ล้านบาท คิดเป็น 11.73%
ทั้งนี้ จากการสำรวจผลการดำเนินงานของ บจ.ในตลาดหลักทรัพย์ mai พบว่า 5 บริษัทที่มีกำไรสุทธิสูงสุดในไตรมาสนี้ ได้แก่ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) มีกำไรสุทธิ 408 ล้านบาท บมจ.บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป (BROOK) 73 ล้านบาท บมจ.ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ (JUBILE) 63 ล้านบาท บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) 62 ล้านบาท และ บมจ.โรงพยาบาลไทยนครินทร์ (TNH) 55 ล้านบาท ตามลำดับ
ปัจจุบันมี บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ mai 101 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 19 สิงหาคม 2557) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 609.99 จุด เพิ่มขึ้น 70.96 % จากต้นปี มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมอยู่ที่ 289,128 ล้านบาท มูลค่าซื้อ ขายเฉลี่ย 1,829 ล้านบาทต่อวัน