บิ๊ก AECS วางแผนธุรกิจโบรกฯครึ่งปีหลัง ขยายฐานลูกค้าพร้อมทำ Private Fund ในไตรมาส 4 ปีนี้ ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดปีนี้ที่ 2.5% จากมีฐานลูกค้าที่ทยอยเพิ่มมากขึ้น พร้อมเข็น บจ.ลงสนาม IPO อีก 3-4 บริษัท มูลค่าสินทรัพย์กว่า 7-8 พันล้านบาท แย้มขยายสาขาเพิ่มให้ได้ 18 แห่งภายในสิ้นปีนี้
นายกอบเกียรติ บุญธีรวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ เออีซี หรือ AECS กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าผลประกอบการปี 2557 มีแนวโน้มพลิกกลับมามีกำไร หลังสถานการณ์การเมืองคลี่คลายลง โดยปัจจุบันบริษัทฯมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 2.1% เพิ่มขึ้นจากช่วงปลายปีที่แล้วซึ่งมีอยู่ที่ 0.5% นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าหมายส่วนแบ่งการตลาดในปีนี้อยู่ที่ 2.5% เนื่องจากมีปริมาณฐานลูกค้าทยอยเพิ่มมากขึ้น
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลัง บริษัทมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มอีกให้ได้ 18 สาขาจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน 9 สาขา โดยอีก 6 สาขาที่จะเปิดใหม่นั้นอยู่ในช่วงของการเลือกทำเลที่เหมาะสมในการตั้งสาขา ซึ่งบริษัทฯกำลังพิจารณาขยายสาขาเพิ่มในพื้นที่ภาคตะวันออก คือ จังหวัดชลบุรี ระยอง และในเขตพื้นที่ปริมณฑลของกรุงเทพฯ โดยจะใช้เงินทุนในการบริหารเฉลี่ยต่อสาขาอยู่ที่ไม่เกิน 10 ล้านบาท ให้ครอบคลุมในการบริการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการในไตรมาสที่ 2 อย่างน้อย 2-3 สาขา
“ในอนาคตบริษัทกำลังขออนุมัติที่จะจัดตั้งทำ ไพรเวต ฟันด์ ซึ่งคาดว่า จะสามารถยื่นขอและดำเนินการได้ทันในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ ซึ่งจะช่วยปิดช่องว่างทางการตลาดของลูกค้าบางกลุ่มได้ และในอนาคตมีความเป็นไปได้สูงที่บริษัทจะทำธุรกิจ บลจ.เอง ซึ่งอยู่ในช่วงของการศึกษาความเป็นไปได้และสรรหาบุคลากร โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าเพิ่มเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนอีกประมาณ 100 คนจากที่มีอยู่ 200 คนให้ได้ภายในสิ้นปีนี้”
นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีการเจรจาเพื่อนำบริษัทจดทะเบียนใหม่เข้าซื้อขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไป หรือ IPO ในตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 3-4 บริษัท มูลค่ารวมประมาณ 7-8 พันล้านบาท ซึ่งที่ได้ผ่านไฟลิ่งของ ก.ล.ต. ไปแล้วคือ บมจ.เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ หรือ JSP คาดว่าจะสามารถเข้าซื้อขายหลักทรัพย์แก่ประชาชนทั่วไปได้ในไตรมาสที่ 3
โดยคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นไทยได้ 1-2 บริษัท ภายในไตรมาส 3-4 ของปีนี้ นอกจากนี้ ยังมีบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในขั้นตอนรอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 3-4 บริษัทฯซึ่งประกอบธุรกิจประเภทพลังงาน โรงพยาบาล อสังหาริมทรัพย์ และปิโตรเคมี โดยจะทยอยเข้าเทรดได้ตามลำดับ
ขณะเดียวกัน บริษัทจะมุ่งเน้นงานวาณิชธนกิจ (Investment Banking ) ในการให้คำปรึกษาทางการเงิน การลงทุนทั้งตลาดในประเทศไทยและกลุ่มประเทศในตลาดอาเซียน ซึ่งขณะนี้มีเจรจากับลูกค้าอยู่ประมาณ 3-4 ราย และธุรกิจให้บริการปรึกษาทางการเงิน (FA) ให้กับบริษัทอื่น โดยที่ผ่านมาบริษัทฯได้มีงานเป็นที่ปรึกษาในการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับบริษัทต่างๆที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และการดำเนินธุรกิจ IB ซึ่งช่วยเสริมรายได้นอกเหนือจากธุรกิจโบรกเกอร์เข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าสถาบันที่เป็นลูกค้าหลักอีกด้วย
สำหรับธุรกิจตัวแทนนายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุนนั้น มีจำนวนธุรกรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันเป็นตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุนของ 15 บริษัท หลักทรัพย์จัดการลงทุน มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ประมาณ 2.8 พันล้านบาท ขณะที่ธุรกิจ Prop Trade ของบริษัทซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่ได้เน้นทำอย่างจริงจัง เนื่องจากบริษัทฯขาดความพร้อมด้านบุคลากร แต่แนวโน้มในอนาคตจะเน้นการทำธุรกรรมประเภทนี้มากขึ้น เนื่องจากสามารถสร้างรายได้ในอนาคตเพิ่มมากขึ้น ในส่วนของตราสารประเภท BE บริษัทได้มีการเสนอขายไปแล้วกว่า 500 ล้านบาท ทั้งในรูปของอายุสัญญา 3 เดือนและ 6 เดือน
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทประเมินว่า ดัชนี SET INDEX มีโอกาสขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,760 จุด เป้าหมายเทียบเท่าระดับ Forward PER ที่ 17 เท่า และ PBV ที่ 2.5 เท่า เนื่องจากเศรษฐกิจไทยผ่านจุดที่ต่ำสุดไปแล้ว โดยคาดว่า GDP ในครึ่งหลังปี 2557 จะขยายตัว 2.9% และในปี 2558 จะกลับมาขยายตัวที่ 3.5-4% สะท้อนการกลับมาเติบโตในระยะกลางของเศรษฐกิจไทย