แลนด์ลอร์ดเมืองหัวหิน-เขาเต่า งัดแลนด์แบงก์พัฒนาที่อยู่อาศัย เชื่อมั่นศักยภาพแนวโน้มตลาดอสังหาฯ ฟื้น ประเดิมที่ดินย่านเขาเต่า พัฒนาคอนโดฯ “เซเลสเต้” 321 ยูนิต มูลค่า 1,700 ล้านบาท ชูจุดขายติดชายหาด ราคาเริ่มต้นแค่ 2.9 ล้านบาท ระบุหากกระแสตอบรับดีเตรียมลุยลงทุนบ้านเดี่ยวต่อเนื่อง
นายจิระวัชร์ อมาตยกุล กรรมการบริหาร บริษัท เขาเต่า เบย์วิว รีสอร์ท จำกัด เผยว่า ภายหลังจากที่ทำธุรกิจซื้อ-ขายที่ดินในย่านหัวหิน เขาเต่า มาเป็นเวลานานจนปัจจุบันมีที่ดินสะสมกว่า 20 แปลง ขนาดตั้งแต่ 10-25 ไร่ นอกจากนี้ ยังได้พัฒนารีสอร์ต “เขาเต่า เบย์วิว รีสอร์ท” พูลวิลลา จำนวน 17 ยูนิต อัตราค่าที่พัก 4,500-15,000 บาท/เดือน ทำให้พบว่า ศักยภาพของที่ดินทำเลหัวหิน เขาเต่า มีการซื้อขายเปลี่ยนมือเร็วมาก และพบว่าในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ราคาที่ดินในหัวหินปรับขึ้นอย่างก้าวกระโดด จาก 20-25 ล้านบาท/ไร่ ขึ้นมาอยู่ที่ 50-100 ล้านบาท/ไร่ ส่วนเขาเต่าราคาเสนอขายปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 30-50 ล้านบาท และคาดว่าใน 2-3 ปีข้างหน้า ราคาที่ดินจะปรับขึ้นอีกกว่า 50%
นอกจากนี้ พบว่ามีกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาตินิยมซื้อที่อยู่อาศัยในหัวหิน และเขาเต่าเพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง และจากภาวะตลาดซบเซาเนื่องจากปัญหาทางการเมืองที่ผ่านมา ยังพบว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์หัวหิน-เขาเต่า ฟื้นตัวก่อนทำเลเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ทำให้บริษัทตัดสินใจนำที่ดินสะสมที่มีอยู่ออกมาพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ด้วยการนำที่ดินสะสมไว้กว่า 10 ปีที่ผ่านมา ขนาด 10 ไร่ จากทั้งหมด 25 ไร่ ติดทะเลย่านเขาเต่า (ซื้อมาในราคาตั้งแต่ 12-20 ล้านบาท/ไร่) มาพัฒนาโครงการ “Celeste Condominium Hua-Hin Kao Tao” (เซเลสเต้ คอนโดมิเนียม หัวหิน เขาเต่า) เป็นคอนโดฯ สูง 4 ชั้น จำนวน 3 อาคาร และสูง 7 ชั้น จำนวน 3 อาคาร ขนาดตั้งแต่ 39.4-120 ตารางเมตร จำนวน 321 ยูนิต ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 2.9-23 ล้านบาท รวมมูลค่า 1,700 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างประมาณปลายปี 2557 แล้วเสร็จประมาณปี 2559 โดยได้รับการสนับสนุนสินเชื่อจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ในสัดส่วนประมาณ 60%
โดยมอบหมายให้บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด เป็นที่ปรึกษาโครงการ และบริหารงานขาย โดยเริ่มเปิดพรีเซลมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2557 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายประมาณ 30% แบ่งเป็นลูกค้าคนไทย 85% และชาวต่างชาติ 15% โดยบริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2557 พิเศษลูกค้าที่จองภายในงานจะได้รับ Mac Book Air มูลค่า 34,900 บาท พร้อมส่วนลดเงินสด โดยหลังจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการจะมีการปรับราคาขายขึ้นมาอีกประมาณ 3-5%
“ยอดขายดังกล่าวถือว่าเป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากเราเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ ช่วงพรีเซลตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ทำเพียงติดป้ายโฆษณาบริเวณโดยรอบเขาเต่าเท่านั้น แต่ก็มีลูกค้าทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติเข้ามาซื้อถึง 30% ซึ่งหลังจากนี้ บริษัทจะเริ่มทำการตลาดอย่างจริงจัง” นายจิระวัชร์ กล่าว
นายจิระวัชร์ กล่าวต่อว่า แม้ปัจจุบันจะมีผู้ประกอบการคอนโดฯ แบรนด์ดังเข้าไปพัฒนาโครงการในเขาเต่าเป็นจำนวนมาก แต่สภาพธรรมชาติในย่านนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลงยังคงเงียบสงบ เมื่อเทียบกับย่านชะอำ หัวหิน และปราณบุรี ทั้งคนไทยที่มีกำลังซื้อ และชาวต่างชาติจึงนิยมซื้อที่อยู่อาศัยเป็นบ้านหลังที่ 2 กันมาก
อย่างไรก็ดี การพัฒนาโครงการเซเลสเต้ถือเป็นบททดสอบการพัฒนาของบริษัท ซึ่งหากโครงการนี้ประสบความเร็จสามารถสร้างยอดขายได้เกินกว่า 70% ก็มีแผนที่จะนำที่ดินในส่วนที่เหลืออีกเกือบ 15 ไร่ มาพัฒนาคอนโดฯ เป็นเฟสที่ 2 ในปี 2558 มูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท แต่ถ้าไม่ประสบผลสำเร็จก็จะนำมาพัฒนาเป็นโรงแรมขนาด 300 ห้อง คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 800 ล้านบาท
และหากเซเลสเต้ มียอดขายได้ถึง 70% บริษัทนำที่ดินบนถนนหัวหิน ซ.9 ขนาดประมาณ 20 ไร่ มาพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยว พร้อมสระว่ายน้ำ เนื่องจากได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนวางแผน และออกแบบ รวมถึงทยอยซื้อที่ดินเพื่อขยายทางเข้า-ออกให้กว้างขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีที่ดินย่านซอยนานา กรุงเทพฯ อีกประมาณ 1 ไร่เศษ และอพาร์ตเมนต์ ในซอยสุขุมวิท 103 ภายใต้แบรนด์ “ฟลอร่า อพาร์ตเมนต์” ซึ่งพัฒนามากว่า 10 ปีแล้ว บนพื้นที่ประมาณ 1 ไร่ จากทั้งหมด 3 ไร่ สูง 10 ชั้น ราคา 2,500-10,000 กว่าบาท/เดือน มีอัตราการเข้าพักประมาณ 50% ซึ่งเป็นอัตราการเช่าที่น้อย เพราะในย่านดังกล่าวมีผู้ประกอบการเข้าไปพัฒนาคอนโดฯ เป็นจำนวนมาก ทำให้บริษัทฯ มีแผนที่นำโครงการดังกล่าวมาปรับปรุงเป็นคอนโดฯ และพื้นที่อีก 2 ไร่ มาพัฒนาโครงการใหม่ควบคู่กันไปด้วย
ด้านนายสัญชัย คูเอกชัย รองผู้อำนวยการฝ่ายโครงการที่อยู่อาศัยส่วนภูมิภาค บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมการแข่งขันของโครงการคอนโดมิเนียมริมหาดเขาเต่า มีค่อนข้างจำกัด เนื่องจากที่ดินริมชายหาดเหลือน้อย ส่งผลให้ราคาที่ดินเสนอขายมีราคาสูง ทำให้ยากต่อการพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคต อีกทั้งเขาเต่า เป็นทำเลที่มีศักยภาพ และคาแร็กเตอร์เฉพาะที่โดดเด่น คือ ค่อนข้างเงียบสงบ และไม่ไกลจากตัวเมืองหัวหิน ทำให้ชาวต่างชาตินิยมพักอาศัย โดยเฉพาะประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวีย และยุโรป รวมไปถึงชาวไทยที่หลีกหนีความวุ่นวาย และโหยหาความเป็นส่วนตัวก็นิยมที่จะมาพักมากขึ้นเช่นกัน ดังนั้น เมื่อมีโครงการฯ เกิดขึ้นจึงเชื่อได้ว่าจะได้รับความสนใจทั้งกลุ่มที่จะซื้ออยู่อาศัยเอง และเพื่อลงทุนปล่อยเช่า
ปัจจุบัน พื้นที่เขาเต่า ตั้งแต่หัวถนน-ปลายถนน รวมระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร มีคอนโดฯ เกิดขึ้นแล้วไม่ต่ำกว่า 10 โครงการ ปัจจุบัน เหลือขาย 4 โครง จำนวน 590 ยูนิต จากทั้งหมด 900 ยูนิต บางโครงการเปิดขายตั้งแต่ปี 2550 ราคาขายต่อตารางเมตรเฉลี่ยอยู่ที่ 80,000-100,000 บาท ราคาเริ่มตั้งแต่ 6 ล้านบาทขึ้น ซึ่งยูนิตที่เหลือส่วนใหญ่เป็นห้องขนาดใหญ่ ทำให้ขายได้ช้า ขณะที่คอนโดฯ ริมหาดหัวหิน ราคาสูงถึง 120,000-150,000 บาท/ตารางเมตร
นายสัญชัย กล่าวถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งหลังปี 2557 ว่า ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เริ่มมีสัญญาณแนวโน้มดีขึ้น ในส่วนของผู้ซื้อชาวไทยที่เริ่มมีการเยี่ยมชมโครงการ และตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยเมืองตากอากาศมากขึ้น จึงประเมินว่าตลาดที่อยู่อาศัยในเมืองตากอากาศ โดยเฉพาะผู้ซื้อชาวไทย จะกลับมาคึกคักอีกครั้งในครึ่งปีหลัง เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มนิ่ง หลังจากที่ในช่วง 5 เดือนแรกของปี ลูกค้าอาจจะใช้ระยะเวลาในการตัดสินใจซื้อช้าลง แต่ในช่วงเดือนมิถุนายน เป็นต้นมา มีการตัดสินใจซื้อที่เร็วขึ้น เพราะลูกค้าที่เป็นคนไทยล้วนมีกำลังซื้อ ไม่ยึดติดการกู้สถาบันการเงิน ขณะที่ผู้ประกอบการโครงการจะกลับมาจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และออกโปรโมชันกระตุ้นการขายใหม่ๆ เพื่อเร่งยอดขายอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน
“ธุรกิจอสังหาฯ โดยรวมยังอยู่ในทิศทางที่ดีจากปัจจัยพื้นฐานที่มั่นคง เห็นได้ว่าบางส่วนของตลาดยังโตได้ดีในปีที่ผ่านมา แม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองที่ร้อนแรงของประเทศไทยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ แต่ธุรกิจทางด้านอสังหาฯ ยังคงเติบโตต่อไปได้ และคาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ซึ่งปัจจุบันสถาบันการเงินต่างๆ ผ่อนคลายความเข้มงวดเรื่องการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น” นายสัญชัย กล่าว