CCP ระบุราคาวัสดุก่อสร้างปรับขึ้นเฉลี่ย 8% หลังสัญญาณเศรษฐกิจฟื้นตัว เผยทรายขาดแคลนดันราคาพุ่งเกือบ 30% เหตุเจ้าของบ่อแห่ขายที่ดินให้นิคม เผยทุ่มซื้อที่บ่อทราย 2 แปลง ไว้ดูดทรายใช้เอง ไตรมาส 3 เล็งออกผลิตภัณฑ์ใหม่ รองรับงานระบบบริหารจัดการน้ำ คาดรายได้ทั้งปีแตะ 2,900 ล้านบาท โตตามเป้า 10% เผยเตรียมจับมือพันธมิตรต่างชาติผลิตคอนกรีตชนิดใหม่ขายในไทย
นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ CCP เปิดเผยว่า ภาพรวมราคาวัสดุก่อสร้างปัจจุบันปรับขึ้นโดยเฉลี่ย 8% โดยวัสดุแต่ละชนิดปรับขึ้น-ลงไม่เท่ากัน เช่น ราคาทรายปรับขึ้นสูงมาก 20-30% เนื่องจากบ่อทรายขาดแคลน เพราะเจ้าของบ่อทรายบางส่วนนำที่ดินไปขายให้แก่นิคมอุตสาหกรรม ซึ่งบริษัทได้เตรียมแผนรองรับด้วยการซื้อที่ดินบ่อทราย 2 แปลง แปลงละกว่า 100 ไร่ เพื่อใช้ป้อนโรงงานของบริษัท
ส่วนปูนราคาปรับลดลงประมาณ 10% เนื่องจากงานโครงการขนาดใหญ่หายไป ทำกำลังการผลิตเหลือ กดดันให้ราคาขายปรับลดลง ส่วนราคาหินปรับลดลงเล็กน้อยในบางช่วง ซึ่งโดยรวมแล้วต้นทุนวัตถุดิบปรับขึ้น 8% แต่บริษัทสามารถปรับขึ้นราคาเพียง 4-5% เท่านั้น เนื่องจากการแข่งขันสูงทำให้ต้องแบกรับภาระต้นทุนไว้บางส่วน
แนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังภาคธุรกิจรับเหมา-วัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจ และการเมืองในประเทศเริ่มมีความชัดเจน ประกอบกับนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจเร่งด่วนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เร่งแผนการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2557 ที่อยู่ระหว่างดำเนินการแต่หยุดชะงักไปในช่วงก่อนหน้านี้ เช่น การดำเนินการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเมกะโปรเจกต์ต่างๆ โครงการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างในช่วงต่อจากนี้ ทั้งในส่วนของงานภาครัฐ และเอกชน
ทั้งนี้ สัญญาณเชิงบวกต่อการฟื้นตัวที่ดีของเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง น่าจะทำให้โครงการทั้งภาครัฐและเอกชนกลับมาเดินหน้าก่อสร้างโครงการประเภทต่างๆ ซึ่งจะส่งผลดี และเป็นโอกาสของบริษัทฯ อย่างมากในการเข้ารับงานใหม่ และจะทำให้สามารถเก็บเกี่ยวรายได้ และผลกำไรที่ดี เพื่อสร้างผลการดำเนินงานในปีนี้ให้เติบโตได้ตามเป้าที่วางไว้ หลังครึ่งปีแรกภาวะตลาดวัสดุก่อสร้างได้รับผลกระทบจากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
“ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวของภาคเอกชน หันมาลงทุนพัฒนาโครงการมากขึ้นโดยมีงานเพิ่มขึ้นถึง 40% จากเดิมมีเกิน 35% อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงรักษาพอร์ตรายได้จากงานภาคเอกชนไว้ที่ 35% งานภาครัฐ 65% เนื่องจากมีความเสี่ยงน้อย โดยงานภาครัฐคาดว่าจะเริ่มเห็นชัดเจนในช่วงต้นปี 58” นายอาทิตย์ กล่าว
สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังจะเน้นเข้ารับงานส่วนราชการท้องถิ่น โครงการป้องกันน้ำท่วม ปรับปรุงการระบายน้ำ รวมทั้งการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมใหม่ และโครงการอสังหาริมทรัพย์ของเอกชนในพื้นที่ภาคตะวันออก รวมถึงการเสนอผลิตภัณฑ์ผ่านหน่วยงานที่ว่าจ้างโดยตรงเพื่อให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ว่าจ้าง
นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 3 บริษัทมีแผนจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่โดยเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast) สำหรับงานบริหารจัดการน้ำ ที่มีคุณสมบัติช่วยในการระบายน้ำ ป้องกันน้ำกัดเซาะ และป้องกันตลิ่งพังทลาย โดยเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าโครงการที่ต้องสร้างระบบด้านงานระบายน้ำ งานป้องกันน้ำท่วม ก่อสร้างถนน และนิคมอุตสาหกรรม เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการเลือกใช้วัสดุคอนกรีตสำเร็จรูปในงานบริหารจัดการน้ำให้แก่ลูกค้า ซึ่งที่ผ่านมา ได้มีการแนะนำผลิตภัณฑ์กับลูกค้าบางกลุ่มแล้ว และมีกระแสตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก โดยได้จัดตั้ง บริษัท ซีซีพี เพวิ่งสโตนส์ ด้วยทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มงาน Precast สำหรับงานโยธา ภายใต้ชื่อ CCP Praving Stones
ส่วนเป้าหมายการเติบโตของรายได้ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 10% หรือมีรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 2,900 ล้านบาท ซึ่งในปัจจุบันบริษัทมีงานก่อสร้างในมือ (Backlog) ประมาณ 1,800 ล้านบาท และคาดว่าภายในสิ้นปีจะมี Backlog อยู่ที่ 1,800-1,900 ล้านบาท แบ่งเป็นงานภาครัฐ 60% และงานภาคเอกชน 40% ทยอยรับรู้รายได้ภายในปีนี้ประมาณ 60% ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้จนถึงไตรมาส 3 ปี 2558 ประมาณ 40%
“หากโครงการลงทุนภาครัฐในส่วนของงานโครงสร้างพื้นฐานมีความชัดเจน จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมก่อสร้าง และจะส่งผลให้ยอดสั่งซื้อคอนกรีตผสมเสร็จ และคอนกรีตสำเร็จรูปเพื่อใช้ในโครงการต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งบริษัทมีความพร้อมในการเข้ารับงานคอนกรีตทุกรูปแบบ ตลอดจนเพิ่มกำลังการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการของโครงการต่างๆด้วยเช่นกัน แต่ก็ยอมรับว่า การตรวจสอบการทุจริตในโครงการต่างๆ จะส่งผลให้งานก่อสร้างโครงการล่าช้า แต่ก็เป็นผลดีที่จะช่วยป้องกันการทุจริต” นายอาทิตย์กล่าว
บริษัทได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้ารับงานโครงการขนาดใหญ่ โดยเจรจาร่วมงานกับพันธมิตรจากต่างประเทศ เพื่อร่วมกันผลิตคอนกรีตรูปแบบต่างๆ รองรับปริมาณคำสั่งซื้อที่อาจมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หากมีการลงทุนของโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐเกิดขึ้น ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้