ศูนย์วิจัยกสิกรฯ คาดเศรษฐกิจไทยปี 57 เติบโตได้ 2.3% ผลจาก คสช.ปลดล็อกโครงสร้าง ส่งผลให้เครื่องยนต์เดินได้อีกครั้ง พร้อมแนะให้ระวังเงินเฟ้อหลังราคาน้ำมันพุ่ง
นางพิมลวรรณ มหัจฉริยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยกสิกร ได้ปรับประมาณการ GDP ประเทศไทยปี 2557 จะขยายตัวได้ 2.3% เป็นการปรับขึ้นจากการประมาณการครั้งก่อนที่มองว่าจะขยายตัว 1.8 % เท่านั้น ผลจากการเข้ามาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มาช่วยปลดล็อกเศรษฐกิจ ทำให้เครื่องยนต์กลับมาขับเคลื่อนอีกครั้ง
“ภาพตอนแรกเศรษฐกิจไทยมีปัญหา เหมือนเครื่องบินที่หยุดรอการซ่อม เมื่อ คสช.เข้ามาเดินหน้าการลงทุนต่างๆ ปลดล็อกปัญหาด้านงบประมาณ ทำให้ประเทศไทยเหมือนเครื่องบินกำลังเทกออฟ เครื่องยนต์ทุกส่วนถูกเดินหน้าเต็มกำลังอีกครั้ง”
นางพิมลวรรณ กล่าวว่า การฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยในปี 2557 นั้นได้รับอานิสงส์จากการช่วยเหลือเกษตรกรจากการจ่ายเงินโครงการรับจำนำข้าว 9.2 หมื่นล้านบาท การเร่งอนุมัติโครงการที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนกว่า 7 แสนล้านบาท และการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 ช่วยผลักดันให้ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้น 1-1.5% แต่เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงในเรื่องการส่งออกฟื้นตัวช้า โดย 4 เดือนแรกขยายตัวได้เพียง 0.7% เทียบกับปีก่อน และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว 5 เดือนแรกลดลง 6.9%
ครึ่งปีหลังมองว่า แม้มีสัญญาณการฟื้นตัวแต่เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ต่ำกว่าศักยภาพ จากการประเมินพบว่า จะขยายตัวได้ 4.3% รับแรงหนุนจากการบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัว 3.6% จากครึ่งปีแรกที่ติดลบ 2% การบริโภคภาครัฐบาลจะขยายตัว 4.54% จากครึ่งปีแรกที่ขยายตัว 4.7% การลงทุนขยายตัว 7.3% จากครึ่งปีแรกที่ติดลบ 8.8% ส่วนการส่งออกประเมินว่าครึ่งปีหลังจะขยายตัวได้ 5.7% แต่ยังฟื้นตัวได้ต่ำกว่าที่เราคาด ทำให้ปีนี้มีมุมมองว่าการส่งออกจะขยายตัวเพียง 3% เท่านั้น จากก่อนหน้าที่คาดว่าจะเติบโต 5%
อย่างไรก็ตาม สำหรับปัจจัยต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือ ผลกระทบจากความขัดแย้งในประเทศอิรัก ที่ผลักดันราคาน้ำมันให้ปรับตัวสูงขึ้นสูงกว่า 110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หากน้ำมันยังอยู่ในระดับสูงเช่นนี้ จะกดดันต่อภาวะเงินเฟ้อในประเทศ รวมถึงการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ จากกรณีสหรัฐฯ เผยแพร่รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ ประจำปี 2014 ซึ่งไทยถูกลดระดับการตอบสนองต่อการค้ามนุษย์ลงไปอยู่ใน “เทียร์ 3” อาจกดดันต่อการส่งออกกุ้ง และอาหารแช่แข็งของไทย ซึ่งยังไม่รวมปัจจัยนี้เข้าไปไว้ในประมาณการ แต่เชื่อว่าจะมีผลกระทบวงจำกัด เพราะที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยมีส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เกตแชร์) ในสหรัฐฯ ลดลง จากในปีก่อน 30% เหลือ 19% ผลจากการที่ไทยมีปัญหาการระบาดของโรคกุ้งตายด่วน (อีเอ็มเอส) ทำให้ต้นทุนสูง ทั้งการแข่งขันในตลาดกุ้งแช่แข็งยังรุนแรงมาก สิ่งที่ไทยควรปรับตัวคือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถแข่งขันได้
น.ส.เกวลิน หวังพิชญสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า เมื่อพิจารณาการฟื้นตัวในรายหมวดธุรกิจครึ่งปีหลังนั้นพบว่า ภาคการก่อสร้างน่าจะฟื้นตัวได้ดีที่สุด จะสามารถขยายตัวได้ 5.8% จากครึ่งปีแรกที่ติดลบ 6.8% ผลจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของรัฐบาลช่วยให้เอกชนมีความเชื่อมั่นการลงทุนมากขึ้น รองลงมาคือ กลุ่มค้าปลีกที่ได้รับอานิสงส์จากการที่ประชาชนมีความมั่นใจ และใช้จ่ายมากขึ้น จะสามารถขยายตัวได้ 5.2% จากครึ่งปีแรกที่ขยายตัวได้เพียง 0.3% สำหรับสินค้าส่งออกที่คาดว่าจะเติบโตได้ดี ในหมวดสินค้าอุตสาหกรรม ทั้งรถยนต์ คาดว่าจะขยายตัวได้ 12.0% จากครึ่งปีแรกที่ขยายตัวได้ 3.0% ผลจากข้อตกลงการค้าเสรีในแอฟริกา และละตินอเมริกา รองลงมาคือ หมวดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่จะขยายตัวได้ 3.9% ปรับตัวลดลงเล็กน้อย เนื่องจากไม่ใช่ฤดูกาลส่งออกของสินค้าดังกล่าว ส่วนสินค้าเกษตร มันสำปะหลัง ยังสามารถขยายตัวได้ดี โดยครึ่งปีหลังประเมินว่าจะมีการส่งออกเพิ่มขึ้น 7.1% จากคำสั่งซื้อคู่ค้าสำคัญอย่างประเทศจีน ส่วนไก่เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลส่งออก และได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการในตลาดญี่ปุ่น
ความท้าทายในระยะต่อไปนั้น คือ ต้นทุนที่มีแนวโน้มสูงขึ้น จากราคาเชื้อเพลิงและค่าขนส่ง กดดันต่ออุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สิ่งทอ ถีบตัวสูงขึ้น รวมถึงความเสี่ยงด้านแรงงานต่างด้าวที่มีอยู่ 1.5 ล้านคน เป็นแรงงานพม่า กัมพูชา และลาว ประมาณ 1.39 ล้านคน ซึ่งทางการอาจมีการจัดระเบียบในเรื่องดังกล่าว ส่งผลให้แรงงานบางส่วนอพยพกลับ แม้ทางการจะออกมาให้ข่าวว่าจะยังไม่มีการจัดระเบียบ แต่การดึงแรงงานกลับมาอาจต้องเพิ่มแรงจูงใจทำให้เป็นความเสี่ยงด้านต้นทุน