ภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ (30 พ.ค.) ดัชนีปิดการซื้อขายภาคเช้าที่ระดับ 1,418.60 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 10.09 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.72% มูลค่าการซื้อขายบางเบาเพียง 25,258.41 ล้านบาท จากตลาดรับรู้สถานการณ์การเมืองภายใต้การบริหารของ คสช. ทำให้ทิศทางเศรษฐกิจมีความชัดเจนมากขึ้น เช่น การจ่ายเงินโครงการจำนำข้าวแก่ชาวนา เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายระดับรากหญ้า
โดย 5 อันดับหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุดในช่วงเช้า คือ
KTB ปิดที่ 19.10 บาท เพิ่มขึ้น +0.50 บาท หรือ +2.69% มูลค่าการซื้อขาย 1,655,929 ล้านบาท
BGH ปิดที่ 16.90 บาท เพิ่มขึ้น +0.50 เปลี่ยนแปลง +3.05% มูลค่าการซื้อขาย 1,072,977 ล้านบาท
TTA ปิดที่ 20.90 บาท เพิ่มขึ้น +0.20บาท หรือ +0.97% มูลค่าการซื้อขาย 1,048,456 ล้านบาท
STEC ปิดที่ 22.00 บาท ลดลง -0.50 บาท หรือ -2.22% มูลค่าการซื้อขาย 946,992 ล้านบาท
ITD ปิดที่ 4.50 บาท เพิ่มขึ้น +0.02 บาท หรือ +0.45% มูลค่าการซื้อขาย 896,789 ล้านบาท
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผจก.ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส หรือ ASP กล่าวว่า นับตั้งแต่ที่ประเทศไทยประกาศใช้กฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 20 พ.ค.57 นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 8 วันติดต่อกันกว่า 3.1 หมื่นล้านบาท ส่วนซื้อสุทธิ ตั้งแต่ 28 ก.พ.-6 พ.ค.57 กว่า 3.1 หมื่นล้านบาท (ยอดซื้อสะสมตั้งแต่ 28 ก.พ.-ปัจจุบัน เป็นขายสทธิ 4.5 พันล้านบาท) และทำให้ยอดสะสมตั้งแต่ต้นปี 2557 เป็นขายสุทธิสูงถึง 3.85 หมื่นล้านบาท การที่นักลงทุนต่างชาติกำลังขายหุ้นมากกว่าที่ซื้อไว้เมื่อช่วง ก.พ.-พ.ค.57 เท่ากับว่ากำลังเอาหุ้นที่มีอยู่เดิมออกมาขาย ซึ่งมูลค่าการซื้อสุทธิสะสมเมื่อคิดตามราคาตลาดตั้งแต่ปี 2552-ปัจจุบัน ยังเหลืออยู่ประมาณ 4.28 หมื่นล้านบาท (จากยอดสูงสุด ณ เม.ย.56 ที่ 3.2 แสนล้านบาท) หากต่างชาติจะขายต่อก็น่าจะขายภายใต้ยอดก้อน 4.28 หมื่นล้านบาทดังกล่าว ซึ่งไม่น่าจะหนักจนถึงขั้นขายหมด ทั้งนี้ ด้วยยอดซื้อที่มีอยู่ค่อนข้างน้อย นักลงทุนต่างประเทศอาจหันกลับมาซื้อเร็วเมื่อสถานการณ์ประเทศกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยกำลังถูกขับเคลื่อนภายใต้แรงกดดันของนักลงทุนรายย่อย สถาบันในประเทศ และพอร์ตโบรกเกอร์เป็นหลัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังอยู่พอสมควร โดยเฉพาะรายย่อยในประเทศ และพอร์ตโบรกเกอร์ที่มีพฤติกรรมอ่อนไหวต่อข่าวสารในแต่ล่ะวันสูง ซึ่งจะทำให้ตลาดจะผันผวนไปมารุนแรง SET INDEX จึงไม่น่าที่จะขึ้นด้วยความมั่นคงมากนัก และทำให้กรอบการเคลื่อนไหวค่อนข้างจำกัด การจะขึ้นผ่านระดับ 972 ซึ่งเป็น Expected PER 14 เท่าของปี 2557 มองว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะทำได้