“PCSGH” ฟุ้งเน็ตมาร์จิ้นทะลัก 21% เผยผลดำเนินการไตรมาสแรกของปีนี้ ยอดขายแตะระดับที่ 1,086 ล้านบาท กำไร 231 ล้านบาท กำไรเริ่มพื้นตัวจากไตรมาสก่อน มั่นใจแผนลดต้นทุนพร้อมเพิ่มยอดขาย กับลูกค้ารายใหม่ ดันผลประกอบการเข้าเป้า กำไรเริ่มฟื้นตัว กอดยอดขายพันล้าน กำเงินสด 500 ล้านบาท พร้อมลงทุนหากได้ออเดอร์เพิ่ม
นายประสงค์ อดุลยรัตนนุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พี.ซี.เอส.แมชีน กรุ๊ป โฮลดิ้ง หรือ PCSGH กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัท และบริษัทย่อยในไตรมาสที่ 1 บริษัทมีรายได้รวมจากการขาย 1,086 ล้านบาท ใกล้เคียงเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 4 ของปี 2556 ที่มียอดขายเท่ากับ 1,089 ล้านบาท เนื่องจากลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบรถยนต์ สามารถเพิ่มปริมาณการส่งออกรถได้มากขึ้น และจากการที่บริษัทสามารถดำเนินการปรับลดต้นทุนด้านต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพส่งผลให้มีกำไรขั้นต้นเท่ากับ 249 ล้านบาท ขยายตัวเล็กน้อยร้อยละ 3.4 จาก 240 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 231 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 จาก 219 ล้านบาท เมื่อสิ้นสุดไตรมาส 4 ของปี 2556 มีอัตรากำไรสุทธิ หรือ Net Margin ถึง 21% หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% จากอัตรากำไรสุทธิในไตรมาสก่อน
“บริษัทมั่นใจว่าแนวทางการบริหารงานที่ได้ดำเนินการมาก่อนหน้าได้ส่งผลในเรื่องยอดขายที่ปรับลดลงเพียง 22% ซึ่งไม่ได้ปรับลดลงไปลึกมากเท่ากับยอดผลิตรถในไตรมาสแรกที่หดตัวลงไปถึง 28% และหากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ก็มีการพัฒนาในทางที่ดีในระดับหนึ่ง เพราะกลับเข้าสู่ภาวะปกติก่อนที่จะมีนโยบายรถคันแรกที่เป็นมาตรการพิเศษ สำหรับแนวทางการดำเนินงาน ยังคงเน้นการลดต้นทุน และการเพิ่มยอดขายใหม่ๆ ตลอดจนการเสนองานที่สามารถให้ผลกำไรในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการที่บริษัทไม่ได้พึ่งพิงเงินกู้ ทำให้ไม่มีภาระต้นทุนทางการเงิน และมีเงินสดในมือกว่า 500 ล้านบาท ทำให้สามารถดำเนินการลงทุนได้ตลอดเวลาหากมียอดคำสั่งจ้างผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในอนาคตได้ทันที”
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ เตรียมที่จะขยายธุรกิจโดยการเพิ่มลูกค้าส่งออกตรง โดยการรับลูกค้ารายใหม่จากต่างประเทศ เพื่อผลิตชิ้นส่วน และส่งตรงไปโรงงานลูกค้าในต่างประเทศเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้โมเดลธุรกิจ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาอยู่ และที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ Eco Car และส่งออกตรงให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ในทวีปยุโรป นอกจากนี้ นโยบายของบริษัทในการลดต้นทุน ควบคุมค่าใช้จ่ายช่วยส่งผลให้เรามีอัตรากำไรที่สูงขึ้้นในสภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ได้รับผลกระทบจากการเมือง และจากการสิ้นสุดโครงการรถคันแรก ซึ่งทำให้รายได้รวมปรับลดลงร้อยละ 22 จาก 1,416 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งเป็นช่วงสูงสุดในโครงการรถคันแรก สาเหตุอีกประการที่ทำให้ยอดขายลดลงดังกล่าวข้างต้นยังเกิดจากการที่บริษัทปรับโครงสร้างธุรกิจ และตัดยอดขายส่วนที่ไม่ใช่ชิ้นส่วนยานยนต์ออก 71 ล้านบาท หรือร้อยละ 5 ตามนโยบายมุ่งเน้นการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ส่งผลให้กำไรสุทธิลดลงจาก 489.33 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีสาเหตุสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ การลดปริมาณสินค้าคงคลังลง เพื่อให้สอดคล้องเหมาะสมกับปริมาณคำสั่งซื้อ สัดส่วนต้นทุนคงที่สูงขึ้นจากการปรับลดปริมาณการผลิตลงตามคำสั่งซื้อที่ลดลง และการปรับเปลี่ยนการคำนวณค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรสำหรับโครงการใหม่ก่อนการรับรู้ได้ที่คิดในอัตราที่เร็วขึ้น