โบรกฯ เผยนักลงทุนสับสนทิศทาง ครม.รักษาการ ทั้งระยะเวลาในการทำหน้าที่ และการบริหารงานประเทศจะเป็นอย่างไร ยอมรับตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนการกลับเข้ามาซื้อน้อยที่สุดของกลุ่มทิป นับตั้งแต่เกิดการไหลกลับในช่วงปีที่ผ่านมา โดยมีเงินทุนไหลกลับเพียง 11.5% ของยอดเงินทุนสุทธิที่ไหลออก ขณะที่อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีกระแสเงินทุนไหลกลับถึง 60 และ 72% ตามลำดับ
นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทย 8 พ.ค. ปรับตัวลงแรงกว่า 23 จุด เนื่องจากแรงกดดันทางการเมือง ภายหลังจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในคดีโยกย้ายเลขา สมช. ส่งผลให้รักษาการนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีส่วนหนึ่งสิ้นสถานภาพลง
นอกจากนี้ กรณีดังกล่าวยังทำให้เกิดภาพของความสับสนว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เหลือจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีรักษาการได้นานเพียงใด การบริหารงานประเทศจะเป็นอย่างไร อีกทั้งการเลือกตั้งที่เคยฉายภาพว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 20 ก.ค.2557 ยังจะสามารถเกิดขึ้นได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม หากปัญหาทางการเมืองเกิดภาพของความชัดเจนมากขึ้น กระแสเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาอีกครั้ง เพราะเมื่อเทียบการไหลเข้า-ออกของกระแสเงินทุนในกลุ่ม TIPs ตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนการกลับเข้ามาซื้อน้อยที่สุด นับตั้งแต่เกิดการไหลกลับในช่วงปีที่ผ่านมา โดยตลาดหุ้นไทยมีเงินทุนไหลกลับเพียง 11.5% ของยอดเงินทุนสุทธิที่ไหลออก ขณะที่อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีกระแสเงินทุนไหลกลับถึง 60 และ 72% ตามลำดับ
สำหรับแนวโน้มวันที่ 9 พ.ค. คาดหุ้นไทยแกว่งตัวกรอบแคบ เนื่องจากภาพของการเมืองที่ยังไม่ชัดเจนว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) รักษาการ จะบริหารประเทศได้นานเพียงใด และการเลือกตั้งครั้งใหม่จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ อีกทั้งความกังวลต่อการปะทะกันของ 2 กลุ่มการเมือง ระหว่างกลุ่ม กปปส. กับกลุ่ม นปช.
ด้านกลยุทธ์ แนะเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มพลังงานและปิโครเคมี เช่น PTT, IVL, IRPC โดยประเมินแนวรับ 1,375 จุด แนวต้าน 1,390 จุด
