ตามกำไรกลุ่มโบรกฯ ลดฮวบ การเมือง QE ฉุดคาดกำไรไตรมาส 1/57 กลุ่มโบรกเกอร์ลดฮวบ! กว่า 70% จากวอลุ่มเทรดที่หดตัวลงมากเมื่อเทียบกับไตรมาสุดท้าย และไตรมาส 1 ปีก่อน ประเมินปัญหาทางการเมืองในประเทศ และการลดวงเงินในมาตรการ QE กดดัน นักวิเคราะห์ให้คำแนะนำ “ลงทุนน้อยกว่าปกติ”
จากการที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เริ่มรายงานผลดำเนินงานประจำไตรมาส 1/57 พบว่า มีบริษัทหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดรายงานผลดำเนินงานแล้วเช่นกัน โดยบริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (MBKET) มีกำไรสุทธิ 127.87 ล้านบาท ลดลง 411.13 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 76.28 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 539 ล้านบาท
เนื่องจากบริษัทมี่รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 823.09 ล้านบาท จาก 1,249.06 ล้านบาทเป็น 425.97 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 65.89 ตามปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลง โดยปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทฯ ลดลงจาก 15,072 ล้านบาท เป็น 4,977 ล้านบาท อันเป็นผลมาจากการลดลงของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันโดยรวมของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จาก 57,928 ล้านบาท เป็น 27,719 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทมีรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าลดลง 24.74 ล้านบาท จาก 74.95 ล้านบาท เป็น 50.21 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 33 เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทฯลดลงจาก 10,445 สัญญา เป็น 7,684 สัญญา ซึ่งยังคงเป็นไปตามการลดลงของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันโดยรวมของตลาดอนุพันธ์ซึ่งลดลงจาก 77,118 สัญญา เป็น 57,340สัญญา
และมีรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ลดลง 34.59 ล้านบาท จาก 165.60 ล้านบาท เป็น 131.01 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 20.89 เนื่องมาจากการชะลอตัวของตลาดทุนส่งผลให้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เฉลี่ยสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2557 ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมียอดเงินให้กู้ยืมเฉลี่ย 12,237 ล้านบาท เป็น 9,676 ล้านบาท
ขณะที่ บล.เอเซีย พลัส มีผลการดำเนินงานตามงบการเงินรวมไตรมาส 1 ปี 2557 ซึ่งยังไม่ผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาต โดยบริษัทมีกำไรสุทธิเป็นจำนวนเงิน 95.61 ล้านบาท เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2556 จำนวน 394.42 ล้านบาท พบว่าลดลงร้อยละ 76
โดยบริษัทมีรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ 225.34 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 62 จากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 เนื่องจากภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวลดลงทำให้ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันลดลงร้อยละ 53 จาก 57,928 ล้านบาท เป็น 27,272 ล้านบาท ซึ่งมีผลให้ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันของบริษัทลดลงร้อยละ 65 จาก 5,184 ล้านบาท เป็น 1,807 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทมีกำไรจากการซื้อขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์ และตราสารอนุพันธ์ในไตรมาสที่ 1 ปี 2557 จำนวน 46 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว คิดเป็นร้อยละ 76 ตามสภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่ราคาปรับตัวลดลง เช่นเดียวกับดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ลดลงร้อยละ 40 จากไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว เนื่องจากการลดลงของเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์
ขณะที่ บล.โนมูระ พัฒนสิน ในไตรมาส 1/58 มีกำไรสุทธิ 56.86 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.03 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 157.3 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.22 บาท ถือว่าปรับตัวลดลง 63.85% โดยมีรายได้รวมลดลง 218.25 ล้านบาท จากรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าลดลง 226.37 ล้านบาท หรือ 60.47% ตามมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยของตลาดโดยรวมลดลงจาก 57,928 ล้านบาท/วัน ในไตรมาส 1 ปีก่อน เหลือ 27,272 ล้านบาทในไตรมาสนี้
นอกจากนี้ บริษัทมีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผล และรายได้จากดอกเบี้ยจากการให้กู้ยืมหลักทรัพย์ลดลง 11.82 ล้านบาท หรือ 11.45% จากการลดลงของธุรกิจเงินให้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ตามสภาวะตลาด
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ประเมินว่า ผลประกอบการหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ในช่วงไตรมาส 1/57 จะออกมาลดลงจากปัญหาทั้งในประเทศ และต่างประเทศที่เกิดขึ้น ซึ่งกดดันฐานกำไรสุทธิของหุ้น “กลุ่มหลักทรัพย์” ด้วย โดยเฉพาะหุ้นที่พึ่งพิงรายได้ค่านายหน้าหลักทรัพย์มากจนเกินไป ขณะเดียวกัน ในช่วงไตรมาส 1/57 บล.มีงานวาณิชธนกิจน้อยลง ซึ่งถือว่าช่วยกดดันให้รายได้และกำไรของธุรกิจลดลงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในส่วน บล.ที่มี Prortrade เชื่อว่าจะมีกำไรจากการลงทุนในหุ้นที่ผันผวน
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ประเมินแนวโน้มธุรกิจหลักทรัพย์ว่า มูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาด SET&MAI (ไม่รวมบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์) ในเดือนมีนาคม 2557 เพิ่มขึ้น 14.97% เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 28,774.14 ล้านบาท ถือเป็นมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 เดือนที่ผ่านมา หลังจากเดือน ธ.ค.56 เป็นเดือนที่มีมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ต่ำที่สุดในรอบปี 2556 และสูงกว่าเมื่อเทียบกับมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนที่แล้วอยู่ที่ 25,028.57 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ด้วยรายได้ส่วนใหญ่ของกลุ่มหลักทรัพย์มาจากค่านายหน้าการซื้อขายหลักทรัพย์ซึ่งผันตามมูลค่าการซื้อขาย ทางฝ่ายคาดผลการดำเนินงานของกลุ่มในเดือนมีนาคมจะลดต่ำลงจากปีที่แล้วค่อนข้างมาก เนื่องจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ในไตรมาส 1/56 มีมูลค่าเท่ากับ 57,927.95 ล้านบาท ในขณะที่ไตรมาส 1/57มี มูลค่าอยู่ที่ 27,271.90 ล้านบาท ลดต่ำลงกว่า 52.92% โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการลดลงของมูลค่าการซื้อขายมีอยู่ 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การผ่อนคลายมาตรการในการอัดฉีดเม็ดเงินผ่านนโยบาย QE และปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ จึงปรับคำแนะนำลงจาก “ลงทุนปกติ” เป็น “ลงทุนน้อยกว่าปกติ” เนื่องจากราคาหลักทรัพย์ในปัจจุบันส่วนใหญ่มีราคาเกินราคาเป้าหมายที่ทางฝ่ายคาดไว้แล้ว
จากการที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เริ่มรายงานผลดำเนินงานประจำไตรมาส 1/57 พบว่า มีบริษัทหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดรายงานผลดำเนินงานแล้วเช่นกัน โดยบริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (MBKET) มีกำไรสุทธิ 127.87 ล้านบาท ลดลง 411.13 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 76.28 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 539 ล้านบาท
เนื่องจากบริษัทมี่รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 823.09 ล้านบาท จาก 1,249.06 ล้านบาทเป็น 425.97 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 65.89 ตามปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลง โดยปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทฯ ลดลงจาก 15,072 ล้านบาท เป็น 4,977 ล้านบาท อันเป็นผลมาจากการลดลงของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันโดยรวมของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จาก 57,928 ล้านบาท เป็น 27,719 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทมีรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าลดลง 24.74 ล้านบาท จาก 74.95 ล้านบาท เป็น 50.21 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 33 เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทฯลดลงจาก 10,445 สัญญา เป็น 7,684 สัญญา ซึ่งยังคงเป็นไปตามการลดลงของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันโดยรวมของตลาดอนุพันธ์ซึ่งลดลงจาก 77,118 สัญญา เป็น 57,340สัญญา
และมีรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ลดลง 34.59 ล้านบาท จาก 165.60 ล้านบาท เป็น 131.01 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 20.89 เนื่องมาจากการชะลอตัวของตลาดทุนส่งผลให้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เฉลี่ยสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2557 ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมียอดเงินให้กู้ยืมเฉลี่ย 12,237 ล้านบาท เป็น 9,676 ล้านบาท
ขณะที่ บล.เอเซีย พลัส มีผลการดำเนินงานตามงบการเงินรวมไตรมาส 1 ปี 2557 ซึ่งยังไม่ผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาต โดยบริษัทมีกำไรสุทธิเป็นจำนวนเงิน 95.61 ล้านบาท เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2556 จำนวน 394.42 ล้านบาท พบว่าลดลงร้อยละ 76
โดยบริษัทมีรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ 225.34 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 62 จากไตรมาสเดียวกันของปี 2556 เนื่องจากภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวลดลงทำให้ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันลดลงร้อยละ 53 จาก 57,928 ล้านบาท เป็น 27,272 ล้านบาท ซึ่งมีผลให้ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันของบริษัทลดลงร้อยละ 65 จาก 5,184 ล้านบาท เป็น 1,807 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทมีกำไรจากการซื้อขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์ และตราสารอนุพันธ์ในไตรมาสที่ 1 ปี 2557 จำนวน 46 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว คิดเป็นร้อยละ 76 ตามสภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่ราคาปรับตัวลดลง เช่นเดียวกับดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ลดลงร้อยละ 40 จากไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว เนื่องจากการลดลงของเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์
ขณะที่ บล.โนมูระ พัฒนสิน ในไตรมาส 1/58 มีกำไรสุทธิ 56.86 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.03 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 157.3 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.22 บาท ถือว่าปรับตัวลดลง 63.85% โดยมีรายได้รวมลดลง 218.25 ล้านบาท จากรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าลดลง 226.37 ล้านบาท หรือ 60.47% ตามมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยของตลาดโดยรวมลดลงจาก 57,928 ล้านบาท/วัน ในไตรมาส 1 ปีก่อน เหลือ 27,272 ล้านบาทในไตรมาสนี้
นอกจากนี้ บริษัทมีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผล และรายได้จากดอกเบี้ยจากการให้กู้ยืมหลักทรัพย์ลดลง 11.82 ล้านบาท หรือ 11.45% จากการลดลงของธุรกิจเงินให้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ตามสภาวะตลาด
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ประเมินว่า ผลประกอบการหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ในช่วงไตรมาส 1/57 จะออกมาลดลงจากปัญหาทั้งในประเทศ และต่างประเทศที่เกิดขึ้น ซึ่งกดดันฐานกำไรสุทธิของหุ้น “กลุ่มหลักทรัพย์” ด้วย โดยเฉพาะหุ้นที่พึ่งพิงรายได้ค่านายหน้าหลักทรัพย์มากจนเกินไป ขณะเดียวกัน ในช่วงไตรมาส 1/57 บล.มีงานวาณิชธนกิจน้อยลง ซึ่งถือว่าช่วยกดดันให้รายได้และกำไรของธุรกิจลดลงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในส่วน บล.ที่มี Prortrade เชื่อว่าจะมีกำไรจากการลงทุนในหุ้นที่ผันผวน
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ประเมินแนวโน้มธุรกิจหลักทรัพย์ว่า มูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาด SET&MAI (ไม่รวมบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์) ในเดือนมีนาคม 2557 เพิ่มขึ้น 14.97% เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 28,774.14 ล้านบาท ถือเป็นมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 เดือนที่ผ่านมา หลังจากเดือน ธ.ค.56 เป็นเดือนที่มีมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ต่ำที่สุดในรอบปี 2556 และสูงกว่าเมื่อเทียบกับมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนที่แล้วอยู่ที่ 25,028.57 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ด้วยรายได้ส่วนใหญ่ของกลุ่มหลักทรัพย์มาจากค่านายหน้าการซื้อขายหลักทรัพย์ซึ่งผันตามมูลค่าการซื้อขาย ทางฝ่ายคาดผลการดำเนินงานของกลุ่มในเดือนมีนาคมจะลดต่ำลงจากปีที่แล้วค่อนข้างมาก เนื่องจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ในไตรมาส 1/56 มีมูลค่าเท่ากับ 57,927.95 ล้านบาท ในขณะที่ไตรมาส 1/57มี มูลค่าอยู่ที่ 27,271.90 ล้านบาท ลดต่ำลงกว่า 52.92% โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการลดลงของมูลค่าการซื้อขายมีอยู่ 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การผ่อนคลายมาตรการในการอัดฉีดเม็ดเงินผ่านนโยบาย QE และปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ จึงปรับคำแนะนำลงจาก “ลงทุนปกติ” เป็น “ลงทุนน้อยกว่าปกติ” เนื่องจากราคาหลักทรัพย์ในปัจจุบันส่วนใหญ่มีราคาเกินราคาเป้าหมายที่ทางฝ่ายคาดไว้แล้ว