โบรกฯ ลุ้นปัญหาการเมืองคลี่คลายได้ในครึ่งปีหลัง เชื่อจะหนุนธุรกิจหลักทรัพย์ฟื้นตัว และสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน เผยหากเป็นไปตามที่คาดไว้ ปริมาณการซื้อขายน่าจะทะลุ 4 หมื่นล้าน/วัน
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการเงินทุนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมของตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่นั้น มีแนวโน้มปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นในทุกตลาด ตามเม็ดเงินที่ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่อีกครั้ง แต่ประเทศไทยมีปัจจัยเสี่ยงเฉพาะตัว ทำให้ปริมาณการซื้อขายของไทยไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหมือนกลุ่มเพื่อนบ้านด้วย ทำให้ปริมาณการซื้อขายต่อวันในปัจจุบันอยู่ที่เพียง 2 หมื่นล้านบาทเท่านั้น
นายเผดิมภพ ยังระบุว่า ในเดือน เม.ย. ถือว่าปัจจัยการเมืองจะเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น จากการตัดสินใจหลายคดีที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล ทำให้มุมมองของตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยง ปริมาณการซื้อขายต่อวันน่าจะซบเซาต่อไปสักระยะหนึ่ง จนกว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะคลี่คลาย โดยมองว่า เมื่อสถานการณ์การเมืองสิ้นสุดลง จะช่วยผลักดันให้ปริมาณการซื้อขายต่อวันกลับไปที่ระดับ 4-5 หมื่นล้านบาทได้อีกครั้ง ส่วนปริมาณการซื้อขายทั้งปียอมรับว่ายังประเมินได้ยาก
ด้านนายไพโรจน์ เหลืองเถลิงพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไอร่า มองว่า ธุรกิจหลักทรัพย์ผันผวนตามปริมาณการซื้อขายต่อวัน ที่ผ่านมายอมรับว่าปริมาณการซื้อขายค่อนข้างผันผวน แต่ยังอยู่ในระดับตามที่คาดไว้ ปริมาณการซื้อขายในขณะนี้อยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาทต่อวัน และหวังว่าหากครึ่งหลังปีนี้ปัญหาการเมืองสามารถคลี่คลายไปได้ จะส่งผลให้ธุรกิจหลักทรัพย์สามารถฟื้นตัวได้อีกครั้ง
สำหรับแนวโน้มธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ในปีนี้ นายไพโรจน์ เชื่อว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี หากปัญหาการเมืองจบเร็วภายในครึ่งปีนี้ จะช่วยให้ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ต่อวันจะปรับตัวขึ้นได้อีกครั้ง และครึ่งปีหลังจะมีการซื้อขายกลับเข้ามาคึกคักอีกครั้ง แตะระดับ 4-5 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ทั้งปีมีโอกาสแตะที่ระดับ 40,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ปัจจัยขึ้นอยู่กับความช้าเร็วของการคลี่คลายสถานการณ์เมือง แม้จะยังไม่มีทางออกแต่หากมีทิศทางที่ชัดเจน เชื่อว่าจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนได้
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ปริมาณการซื้อขายตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานั้น เดือน มี.ค. ถือเป็นเดือนที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 14.97 % ทั้งนี้ รายได้หลักของธุรกิจหลักทรัพย์มาจากค่านายหน้าหลักทรัพย์ ซึ่งจะผันผวนตามมูลค่าการซื้อขาย ส่งผลให้ทางฝ่ายวิจัยประเมินว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มหลักทรัพย์ในเดือน มี.ค. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจะปรับตัวลดลงมาก
ทั้งนี้ เนื่องจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 นั้นมีมูลค่าสูงกว่า 5.79 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ของปี 2557 จะพบว่า มูลค่าการซื้อขายลดลง 52.92 % ปัจจัยที่เข้ามากระทบนั้น ได้แก่ การผ่อนคลายการอัดฉีดเม็ดเงินผ่านนโยบายคิวอี ของธนาคารกลางสหรัฐฯ และปัญหาการเมืองในประเทศสำหรับการลงทุนในหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์นั้น แนะนำให้นักลงทุน ลงทุนน้อยกว่าปกติ เนื่องจากราคาหุ้นในปัจจุบันถือว่า มีมูลค่าสูงกว่าปัจจัยพื้นฐานไปแล้ว