xs
xsm
sm
md
lg

โบรกฯ มองหุ้นไทยราคาเริ่มแพง พี/อี แตะ 15 เท่า บจ. กำไรหดตัว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บล.กสิกรไทย มองหุ้นไทยราคาเริ่มแพง หลังพี/อี แตะ 15 เท่า บวกกับบริษัทจดทะเบียนกำไรหดตัว ส่งผลให้รายย่อยทำกำไรได้น้อยลง แนะระยะกลางเน้นลงทุนหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากภาคการส่งออก ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นปิดเหนือแนวต้านสำคัญที่ 1,401.84 จุด แนะจับตาปัจจัยเรื่อง ป.ป.ช.ฟันคดีทุจริตจำนำข้าว และศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ขาดตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

นายธิติ ตันติกุลานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางดัชนีหุ้นไทยไตรมาส 2/57 ว่า ในระยะ 3 เดือนคือ เมษายน-มิถุนายน เป็นช่วงที่นักลงทุนจะเริ่มเห็นทิศทางการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนชัดเจนขึ้น เพราะหลังจากประกาศจ่ายเงินปันผลไปในช่วงปลายเดือนเมษายน บริษัทจะเดินหน้าผลักดันธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองน่าจะเริ่มชัดเจนมากขึ้น

ประกอบกับภาพรวมการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วงไตรมาสแรกได้รับแรงหนุนจากนักลงทุนรายย่อยที่เข้ามาพยุงดัชนีให้เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น คาดว่าในไตรมาส 2/57 ยังน่าจะได้รับอานิสงส์ต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม บล.กสิกรไทย มองว่า ค่า PE ที่ 14-15 เท่าประกอบกับความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนเริ่มลดลง ทำให้หุ้นหลายตัวอยู่ในระดับราคาที่เริ่มแพง แต่สำหรับนักลงทุนรายย่อยยังมีช่วงทำกำไรได้อย่างจำกัด ขณะที่ระยะกลาง การเข้าสะสมหุ้นช่วงนี้ควรเลือกหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากภาคการส่งออก เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อาหาร หากต้องการมองหุ้นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากการบริโภคภายในประเทศก็คงเหลือ IT เพียงอุตสาหกรรมเดียว โดยต้องมองบริษัทที่มีศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ หลายฝ่ายเริ่มมองว่าปี 2557 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทย หรือ GDP จะปรับลดลงต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ แม้ว่าล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. แถลงรายงานนโยบายการเงินว่า ธปท.ได้มีการปรับลดคาดการณ์ GDP ทั้งปี 2557 ลงเหลือเติบโตเพียง 2.7% จากเดิมคาดว่าจะเติบโต 3% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ชะลอลงตามอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอในช่วงครึ่งปีแรก รวมถึงการส่งออกที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกในช่วง 2 เดือนแรกคือ มกราคม-กุมภาพันธ์ ของกระทรวงพาณิชย์ ที่ระบุว่า การส่งออกที่ไม่รวมทองคำของไทยยังคงหดตัวอยู่ 2.0% ขณะที่การส่งออกรวมขยายตัว 0.2% ซึ่งนายธิติ ระบุว่า บล.กสิกรไทย คาดการณ์ GDP ทั้งปีของไทยไว้ที่ 1.2% บนพื้นฐานที่ว่าการส่งออกจะเริ่มฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

ส่วนแนวโน้มในสัปดาห์นี้ (16-18 เม.ย.57) บล.กสิกรไทย และบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ดัชนีมีโอกาสปรับขึ้นจากแรงหนุนของการไหลเข้าของเงินทุน ขณะที่ตลาดคงจะให้น้ำหนักต่อการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ยอดค้าปลีก เครื่องชี้วัดภาคอสังหาริมทรัพย์ ดัชนีราคาผู้บริโภค และผลผลิตภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งการรายงาน GDP ไตรมาส 1/57 ของจีน โดยคาดว่าดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,334 และ 1,364 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,400 และ 1,420 จุด ตามลำดับ

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้ “รอซื้อเก็งกำไรเมื่ออ่อนตัว เน้นหุ้น Laggard หรือมีปัจจัยบวก” เพื่อลุ้นดัชนีทดสอบ 1,400 จุด อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ชะลอการเก็งกำไร ถ้าตลาดปรับถอยหลุด 1,370 จุดลงมา เนื่องจากตลาดมีความผัวผวนสูงขึ้น ดังนั้น การวางกลยุทธ์จึงไม่ควรเน้นที่ดัชนี แต่เลือกตัวหุ้นที่เสี่ยงน้อยกว่าตลาด เช่น ยังขึ้นน้อย หรือมูลค่ายังถูก นอกจากนี้ ช่วงสั้นให้ระวังแรงขายทำกำไรในหุ้นที่ Outperform ตลาดมานาน ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ขนส่ง โดยมีประเด็นติดตาม คือ การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งหากส่อเค้ารุนแรงอาจกดดันจิตวิทยาการลงทุนในช่วงปลายเดือนเมษายนมากขึ้น

ขณะที่ นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนธนชาต จำกัด มองแนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าในครึ่งปีแรก เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานบริษัทจดทะเบียนน่าจะดีขึ้น ประกอบกับเริ่มมีความคาดหวังเรื่องผลประกอบการ และการขยายตัวทางเศรษฐกิจก็น่าฟื้นจะตัวได้ ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจดทะเบียนจะไม่ปรับลดเป้าหมายกำไรบริษัทลงอีกแล้ว เพราะมีการปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนลงไปแล้ว 6% จากกำไรปี 2556 ที่ประมาณ 7-8 แสนล้านบาท โดยต้องจับตาดูในเดือนพฤษภาคมว่าจะมีการลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนลงอีกหรือไม่

ด้านฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี คาดการณ์แนวโน้มดัชนีหุ้นไทย 17 เม.ย. โดยคาดว่า ดัชนีฯ เตรียมขึ้นทดสอบ 1,400 จุดอีกครั้ง หากแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติยังมีต่อเนื่อง ทั้งนี้ นักลงทุนยังคงต้องจับตาปัจจัยการเมืองกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.พิจารณารักษาการนายกรัฐมนตรี ในคดีทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัยการสิ้นสภาพนายกรัฐมนตรี ในกรณีกระทำการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 268 แต่งตั้งโยกย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี จนเป็นเหตุให้ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งคืนตำแหน่ง หากผลการวินิจฉัยสรุปว่า รักษาการนายกรัฐมนตรี มีความผิดอาจต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งอาจรวมถึงคณะรัฐมนตรีด้วย ทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง รวมทั้งจะเป็นปัจจัยเสี่ยงเพิ่มความร้อนแรงทางการเมืองมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ถ้าดัชนีอยู่ต่ำกว่าระดับ 1,390 จุด แนะนำขายหุ้น หรือรอดูตลาด แต่หากยืนเหนือ 1,390 จุด คาดว่าจะเกิดแรงผลักดันทางขึ้นทดสอบแนวต้านจิตวิทยา 1,400 จุด แนะนำเลือกซื้อหุ้นเก็งกำไร
กำลังโหลดความคิดเห็น