ศุภาลัยฯ แจงการเมืองกระทบตลาด การลงทุนภาครัฐ และเอกชนชะงัก กำลังซื้อลูกค้าหดตัว เผยยอดขายอสังหาฯ ใหม่ไตรมาสแรกติดลบ 10% หากไตรมาส 3 ไม่มีรัฐบาล คาดทั้งปีโตติดลบ เตรียมเปิดตัว 26 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวม 32,020 ล้านบาท
นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลกระทบจากปัญหาการเมืองในขณะนี้ว่า มีผลให้เศรษฐกิจเกิดการชะงักตัว และยังส่งผลต่อการชะลอการลงทุนของทั้งภาครัฐ และเอกชนด้วย ขณะเดียวกัน ยังส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ สถาบันการเงินยังมีการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อทั้งใน่สวนของสินเชื่อโครงการ และสินเชื่อรายย่อยเพิ่มมากขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมามีโครงการอสังหาฯ หลายๆ โครงการต้องประสบปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินสูงถึง 50%
อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวไม่ได้ส่งผลเสียเพียงด้านเดียว แต่ในทางตรงกันข้ามก็เป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการรายใหญ่ เพราะซัปพลายเข้าสู่ตลาดน้อยลง ทั้งนี้ การชะลอตัวของ เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเชื่อว่ายังส่งผลต่อการหดตัวของจีดีพีไม่มากจนส่งผลใหจีดีพีติดลบ เพราะแม้ว่ากำลังซื้อจะหดตัวลง แต่ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังคงมีอยู่ ซึ่งหากมองในแง่บวกจะช่วยลดความร้อนแรงในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ลง ขณะที่เศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัวภาคการส่งออกจะดีขึ้น และดอกเบี้ยที่ลดลงจะช่วยให้ตลาดยังเดินต่อไปได้ แต่คงไม่หวือหวานัก
ด้านนายอธิป พีชานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย กล่าวว่า ผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน ทำให้เกิดการชะลอการซื้อบ้าน ซึ่งคาดว่ายอดขายบ้านในไตรมาสแรกจะติดลบ 10% ถ้าหากปัญหาการเมืองสามารถจบลงได้ในไตรมาสที่ 2 ตลาดบ้านทั้งปีจะทรงตัวเท่ากับปี 2556 ที่ผ่านมา
“ในกรณีที่ปัญหาการเมืองยังลากยาวไปถึงช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าตลาดบ้านทั้งปีจะหดตัวจนติดลบได้ ส่วนจะติดลบมากหรือน้อยเท่าไหร่นั้น คงต้องรอดูตัวเลขกันเป็นรายไตรมาส เพราะขณะนี้ไม่สามารถคาดการตลาดได้เลยว่าจะมีทิศทางอย่างไร เพราะต้องดูปัญหาการเมืองก่อนว่าจะจบลงเมื่อใด”
ทั้งนี้ ในส่วนของยอดขายในไตรมาสแรกของบริษัทนี้คาดว่าศุภาลัย จะมียอดขายอยู่ที่ปีะมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่ายังต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้เมื่อพิจารณาจากเป้าหมายรวมทั้งปีที่ตั้งวางไว้ 22,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดี บริษัทยังเชื่อว่ายอดขายของบริษัทจะยังอยูในประมาณการที่วางไว้ เนื่องจากโครงการใหม่ของบริษัทส่วนใหญ่จะเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง และคาดว่าในไตรมาส 2 น่าจะดีขึ้นเพราะผู้ที่ต้องการซื้อบ้านได้เริ่มปรับตัวรับกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่
ทั้งนี้ คาดว่าในไตรมาส 2 จะมียอดขายอีกไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท เมื่อรวมครึ่งปีแรกจะมียอดขายไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านบาท โดยในปีนี้บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่รวม 26 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 32,02 0 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 18 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 8 โครงการ โดยตั้งงบซื้อที่ดินในการพัฒนาโครงการใหม่ ประมาณ 5,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในสิ้นปีนี้บริษัทตั้งเป้ามียอดขาย 22,000 ล้านบาท และมีรายได้ 20,000 ล้านบาท เติบโต 40% อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันบริษัทมีสินค้าขายที่รอรับรู้รายได้ประมาณ 39,230 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ยังคงพัฒนาโครงการหัวเมืองจังหวัดต่างๆ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งในจังหวัดเดิมดำเนินการอยู่แล้ว ได้แก่ ภูเก็ต สงขลา ขอนแก่น เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี ชลบุรี อุดรธานี และระยอง และเตรียมขยายลงทุนเโครงการใหม่เพิ่มใน จ.นครราชสีมา และอุบลราชธานี โดยเน้นพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลัก จำนวน 5-6 โครงการ